คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6111/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ส. ทนายจำเลยทั้งสามร่วมกับฝ่ายโจทก์คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสาม การที่ ส. ทนายจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสามมิได้รู้เห็นยินยอมหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสามจะต้องไปว่ากล่าวกับ ส. เองเมื่อจำเลยทั้งสามตั้ง ส. เป็นทนายความดำเนินคดีแทนโดยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ตราบใดที่จำเลยทั้งสามยังมิได้ขอถอน ส.จากการเป็นทนายความของตนการกระทำของส. ในฐานะทนายความของจำเลยทั้งสามย่อมจะต้องผูกพันจำเลยทั้งสาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามทำการแบ่งแยกโฉนดที่ดินแล้วทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินจำนวน 1,500,000 บาท จากโจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสามทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่สามารถทำการรังวัดแบ่งแยกโฉนดที่ดินและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสามคืนเงินมัดจำ100,000 บาท และชดใช้ค่าเสียหายอีก 200,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 300,000 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้มอบอำนาจให้นางสาววรรณีทำสัญญาจะขายที่ดินแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามและโจทก์มิได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ทนายโจทก์และนายสิทธิพลทนายจำเลยทั้งสามยื่นคำแถลงว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงประนีประนอมยอมความกันได้และได้เสนอสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ปรากฏตามสัญญาประนีประนอมยอมความลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และคืนค่าขึ้นศาลให้โจทก์เป็นกรณีพิเศษเป็นเงิน 18,750 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความได้ทำขึ้นเพราะโจทก์ ทนายโจทก์ และนายสิทธิพลทนายจำเลยทั้งสามคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสาม
ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม
ศาลอุทธรณ์ให้รับอุทธรณ์ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานจำเลยและพยานโจทก์ในประเด็นที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่า โจทก์ทนายโจทก์และทนายจำเลยได้คบคิดกันฉ้อฉลทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 7 พฤศจิกายน 2532
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองนำสืบมาไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าฝ่ายโจทก์จะร่วมมือกับนายสิทธิพลฉ้อฉลจำเลยทั้งสาม ส่วนเรื่องที่นายสิทธิพลจะทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสามมิได้รู้เห็นยินยอมหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสามจะต้องไปว่ากล่าวกับนายสิทธิพลเอง สำหรับคดีนี้เมื่อจำเลยทั้งสามตั้งนายสิทธิพลเป็นทนายความดำเนินคดีแทนโดยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ตราบใดที่จำเลยทั้งสามยังมิได้ขอถอนนายสิทธิพลจากการเป็นทนายความของตน การกระทำของนายสิทธิพลในฐานะทนายความของจำเลยทั้งสามย่อมจะต้องผูกพันจำเลยทั้งสามที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น ไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง
พิพากษายืน

Share