แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ขณะเกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่เปิดแล้วภายในบ้านผู้เสียหาย แต่ช่วงระยะเวลาที่ผู้เสียหายอ้างว่ามองเห็นและจำใบหน้าของคนร้ายได้เกิดขึ้นตอนที่คนร้ายเข้ามากระชากผมของผู้เสียหาย แล้วลากเข้าไปในห้องครัวเป็นระยะทางประมาณ 3 เมตร โอกาสที่ผู้เสียหายมองเห็นใบหน้าคนร้ายได้ไม่ควรเกิน 1 นาที ผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ที่กกหูข้างซ้ายด้วย ย่อมทำให้ผู้เสียหายตกอยู่ในอาการหวาดกลัว และต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองมากกว่าที่จะสนใจจดจำใบหน้าคนร้าย ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับคนร้ายมาก่อน ยิ่งทำให้ไม่มีเหตุผล ที่จะเชื่อได้ว่าผู้เสียหายมองเห็นและจำหน้าคนร้ายได้อย่างแม่นยำ เมื่อผู้เสียหายพบจำเลยที่สถานีตำรวจ ผู้เสียหายไม่ได้ยืนยันทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้าย แต่กลับครุ่นคิดอยู่ประมาณ 4 ถึง 5 นาที พยานโจทก์ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับผู้เสียหายก็ยอมรับว่าจำคนร้ายไม่ได้เมื่อไม่ปรากฏว่าของกลางของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปถูกยึดได้จากจำเลย เพียงแต่จำเลยมีลักษณะใบหน้าและแผลเป็นที่หลังเท้าด้านซ้ายคล้ายกับคนร้ายที่ผู้เสียหายมองเห็นจึงยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงพอ ตามพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐานโจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 340, 340 ตรี ให้จำเลยคืนเงินและทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 59,200 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานปล้นทรัพย์ จำคุก 18 ปี ฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน และกระสุนปืนไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 1 ปี รวมจำคุก20 ปี ให้จำเลยคืนเงินและทรัพย์หรือทรัพย์หรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 59,200 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ นางวันณีย์ คชเดช ผู้เสียหายถูกคนร้าย 4 คน ร่วมกันมีและใช้อาวุธปืนพร้อมมีดเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ตามฟ้องของผู้เสียหายไป มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกันกระทำผิดดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ในข้อนี้โจทก์มีผู้เสียหายเบิกความเป็นประจักษ์พยานว่า คืนเกิดเหตุขณะที่ผู้เสียหายและนายพินิตย์ คชเดช สามี กำลังเตรียมตัวออกจากบ้านไปกรีดยางพาราได้มีคนร้าย 4 คน เข้ามาในบ้านจับตัวผู้เสียหายและสามีไว้จากนั้นคนร้ายคนหนึ่งใช้อาวุธปืนจี้ที่กกหูข้างซ้ายของผู้เสียหายแล้วถามหาทรัพย์สิน เมื่อผู้เสียหายบอกว่าไม่มีก็ถูกคนร้ายใช้เท้าเตะ 2 ครั้ง แล้วใช้ผ้าปูที่นอนคลุมศีรษะผู้เสียหายไว้แต่ก่อนหน้านั้นผู้เสียหายมองเห็นหน้าและจำคนร้ายผู้นี้ได้เนื่องจากใบหน้าของคนร้ายมีลักษณะเป็นรูพรุนคล้ายเคยเป็นสิวมาก่อนและเมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับได้ ปรากฏว่าใบหน้าของจำเลยเหมือนกับใบหน้าของคนร้ายดังกล่าว จึงยืนยันว่า จำเลยเป็นคนร้ายคนหนึ่ง เห็นว่า แม้ขณะเกิดเหตุจะมีแสงสว่างจากไฟฟ้าที่เปิดแล้วภายในบ้านผู้เสียหาย แต่ช่วงระยะเวลาที่ผู้เสียหายอ้างว่ามองเห็นและจำใบหน้าของคนร้ายได้นั้นเกิดขึ้นตอนที่คนร้ายเข้ามากระชากผมของผู้เสียหายแล้วลากเข้าไปในห้องครัวเป็นระยะทางประมาณ 3 เมตร ดังนั้นโอกาสที่ผู้เสียหายมองเห็นใบหน้าคนร้ายได้ไม่ควรเกิน 1 นาที ประกอบกับผู้เสียหายถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนจี้ที่กกหูข้างซ้ายด้วยย่อมทำให้ผู้เสียหายตกอยู่ในอาการหวาดกลัวและต้องระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองมากกว่าที่จะสนใจจดจำใบหน้าของคนร้าย ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับคนร้ายมาก่อน ยิ่งทำให้ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าผู้เสียหายมองเห็นและจำหน้าคนร้ายได้อย่างแม่นยำนอกจากนั้นยังได้ความว่าเมื่อผู้เสียหายพบจำเลยที่สถานีตำรวจ ผู้เสียหายหาได้ยืนยันทันทีว่าจำเลยเป็นคนร้ายไม่กลับต้องครุ่นคิดอยู่นานประมาณ 4 ถึง 5 นาที ตามที่พันตำรวจโทเชาวลิต นราอาจ พนักงานสอบสวนเบิกความถึง นายพินิตย์พยานโจทก์ซึ่งร่วมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกับผู้เสียหายก็ยอมรับว่า จำคนร้ายไม่ได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าของกลางของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายปล้นไปถูกยึดได้จากจำเลย เพียงแต่จำเลยมีลักษณะใบหน้าและแผลเป็นที่หลังเท้าด้านซ้ายคล้ายกับคนร้ายที่ผู้เสียหายมองเห็นจึงยังไม่มีน้ำหนักและเหตุผลมั่นคงพอ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีพยานหลักฐาน โจทก์มีเหตุสงสัยตามสมควรว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน