แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นดำเนินกิจการในทางช่วยเหลือส่งเสริมอาชีพของเกษตรกรหรือดำเนินการของเกษตรกรโดยตรง จึงถือว่าเป็นกิจการอย่างอื่นที่ธนาคารโจทก์กระทำเพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของธนาคารได้นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือทางการเงินตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 และเมื่อกิจการตลาดกลางเกษตรขอนแก่นเป็นกิจการของโจทก์รายได้จากกิจการดังกล่าวจึงถือเป็นรายได้ของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่เกษตรกรกลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตร ประกอบธุรกิจอื่น อันเป็นการส่งเสริมหรือสนับสนุนการประกอบเกษตรกรรมและดำเนินกิจการตลาดผลิตผลการเกษตร และผลิตภัณฑ์จากผลิตผลการเกษตรได้ตามกฎกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มาตรา 9(2) จำเลยเป็นนิติบุคคล เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง โจทก์ดำเนินกิจการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่น ตั้งแต่ปี 2533 เจ้าพนักงานประเมินได้เรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน 2541 จากโจทก์ รวมเป็นเงิน 52,944 บาท โจทก์อุทธรณ์คัดค้านการประเมิน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยว่า การประเมินสำหรับเดือนพฤษภาคม 2541 ชอบแล้ว ให้งดเบี้ยปรับเงินเพิ่มต้องชำระตามกฎหมาย เป็นเงิน 12,582 บาท ส่วนการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนมิถุนายน 2541 จำนวน 13,616.01 บาท ให้ลดลง 7,948.87 บาท ผลทำให้เงินเพิ่มลดลง 1,669.26 บาท เบี้ยปรับให้งด ให้โจทก์ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเงินเพิ่มเป็นเงิน 6,857 บาท โดยให้เหตุผลว่าตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นแม้เป็นกิจการของโจทก์ แต่ลักษณะการประกอบกิจการ และวัตถุประสงค์ของตลาด มิใช่การประกอบกิจการตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร ตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 จึงไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ส่วนการประเมินภาษีกรณีมีรายรับจากการรับฝากสินค้าในฉางข้าวถือเป็นรายรับจากการให้บริการรับฝากสินค้า มิใช่เป็นการให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์ จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่โจทก์ไม่เห็นด้วยเพราะตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นเป็นกิจการของโจทก์มิใช่เป็นนิติบุคคลต่างหากจากโจทก์ วัตถุประสงค์ของตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นจึงเป็นกิจการตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มาตรา 98(2) ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่น จัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2529 รัฐบาลสมัยนั้นได้มอบหมายให้โจทก์ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกจากชาวนา เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้สามารถเก็บข้าวเปลือกไว้รอราคาและเพื่อให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาในระยะยาวรัฐบาลโดยคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองและอนุมัติโครงการเร่งรัดฟื้นฟูการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (ก.ฟ.ค.) ได้อนุมัติเงินงบประมาณแผ่นดินวงเงิน 34 ล้านบาท ให้โจทก์ใช้จัดสร้างตลาดกลางข้าวเปลือกระดับภาคซึ่งกรรมการของโจทก์มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานได้อนุมัติให้โจทก์จัดสร้างตลาดกลางสินค้าเกษตรที่จังหวัดขอนแก่น เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2530 ดังนั้น การดำเนินการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นของโจทก์ จึงเป็นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2529 และมติคณะกรรมการโจทก์ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มาตรา 13 ซึ่งบังคับใช้อยู่ในขณะนั้น โดยให้อำนาจโจทก์กระทำกิจการอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อส่งเสริมอาชีพการเกษตรหรือดำเนินงานของเกษตรกรซึ่งต่อมากระทรวงการคลังได้ออกกฎกระทรวงรองรับให้โจทก์สามารถประกอบธุรกิจตลาดผลิตผลการเกษตรได้ กิจการของโจทก์ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มาตรา 41 ที่บัญญัติให้โจทก์ได้รับยกเว้นการเสียภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร โดยโจทก์ได้รับยกเว้นภาษีอากรรวมทั้งภาษีการค้าสำหรับกิจการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นและประมวลรัษฎากร มาตรา 77/3 ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจการของโจทก์ เนื่องจากเป็นกิจการที่ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/3(1) แห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 77/3 ได้บัญญัติยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจการของโจทก์ทุกกิจกรรมที่โจทก์ประกอบการภายใต้วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพ.ศ. 2509 หากกฎหมายประสงค์จะยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะหรือภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่โจทก์เฉพาะกิจการธนาคารหรือกิจการใดก็น่าจะบัญญัติโดยชัดแจ้ง ดังเช่นกิจการของสหกรณ์ออมทรัพย์ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/3(3) ซึ่งยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่กิจการให้กู้ยืมเงินแก่สมาชิกเท่านั้น ส่วนกิจการอื่นจะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะตามลักษณะธุรกิจซึ่งหากกฎหมายประสงค์จะยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีธุรกิจเฉพาะให้แก่โจทก์เฉพาะกิจการธนาคารหรือกิจการตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2 ก็จะต้องบัญญัติมาตรา 91/3 ไว้ว่าให้ยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับกิจการดังต่อไปนี้ “(1)…กิจการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเฉพาะการประกอบกิจการตามมาตรา 91/2” ซึ่งเป็นผลให้กฎหมายไม่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้โจทก์ กิจการของโจทก์นอกเหนือจากประกอบกิจการตามมาตรา 91/2จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่กฎหมายไม่ได้บัญญัติไว้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจตีความว่าโจทก์ได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะหรือภาษีมูลค่าเพิ่มเฉพาะบางกิจการเท่านั้นและเมื่อพิจารณาบทบัญญัติตามประมวลรัษฎากร มาตรา 81 ที่ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่การประกอบกิจการต่าง ๆ ของเอกชนแล้ว จะเห็นว่าการขายสินค้าและบริการแก่เกษตรกรจะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่น การขายพืชผลการเกษตร ยากำจัดศัตรูพืช ขายปุ๋ยและการให้บริการสีข้าวเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรมิให้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งโจทก์ได้สนองนโยบายของรัฐบาลโดยคิดค่าบริการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นในราคาถูก เป็นผลให้ขาดทุนจากการดำเนินการมาโดยตลอด นอกจากนี้โจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ในข้อที่ประเมินรายรับจากการให้เช่าฉางข้าวเป็นรายรับจากการให้ฝากสินค้าซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อพ่อค้าจะมาซื้อข้าวเปลือกที่เกษตรกรนำมาขายที่ตลาดกลางโดยที่การซื้อข้าวเปลือกแต่ละวันมีจำนวนไม่แน่นอน จึงต้องมีสถานที่เก็บรวบรวมเพื่อขนส่งโดยรถบรรทุก ดังนั้น พ่อค้าจึงต้องเช่าฉางข้าวของโจทก์เพื่อใช้เก็บข้าวเปลือกโดยโจทก์ได้ส่งมอบการครอบครองฉางข้าว ซึ่งมีจำนวนทั้งหมด 12 ห้องให้แก่พ่อค้าซึ่งมาซื้อข้าวเปลือกที่ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นแต่ละห้องโดยพ่อค้าผู้เช่าฉางข้าวตกลงชำระค่าเช่าฉางข้าวให้แก่โจทก์เป็นรายเดือนทุกเดือน โดยจะมีหรือไม่มีข้าวเปลือกของตนอยู่ในฉางข้าวที่เช่าก็ตามและพ่อค้าผู้เช่าต้องดูแลรับผิดชอบข้าวเปลือกในฉางข้าวเอง หากข้าวเปลือกสูญหายโจทก์ไม่ต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ผู้เช่าและโจทก์มีสิทธิเข้าตรวจฉางข้าวห้องที่มีผู้เช่าเป็นครั้งคราวในเวลาและระยะเวลาอันสมควร ขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยให้การว่า โจทก์ประกอบกิจการธนาคารจัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 ซึ่งตามประมวลรัษฎากรมาตรา 91/2 บัญญัติให้กิจการธนาคารต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่มีบทบัญญัติมาตรา 91/3 ยกเว้นให้กิจการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและอยู่ในบังคับมาตรา 77/3 ให้ได้รับยกเว้นการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยแต่ทั้งนี้กิจการธนาคารโจทก์ย่อมต้องเป็นกิจการที่อยู่ในขอบเขตวัตถุประสงค์ของโจทก์ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มาตรา 9 และเป็นกิจการที่ธนาคารโจทก์มีอำนาจกระทำได้ภายในขอบเขตแห่งวัตถุประสงค์ตามมาตรา 10 ที่ใช้ในขณะความรับผิดทางภาษีของโจทก์เกิดขึ้น ซึ่งตามมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 แก้ไขเพิ่มเติมโดยมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535 ที่ใช้บังคับในขณะนั้นบัญญัติไว้ว่า “ธนาคารมีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อส่งเสริมอาชีพการเกษตรหรือการดำเนินการของเกษตรกรกลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกร หรือสหกรณ์การเกษตรสามารถประกอบอาชีพอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้แก่ครอบครัว” แต่กิจการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นของโจทก์เป็นกิจการที่โจทก์จัดตั้งขึ้นและเป็นผู้ดำเนินกิจการดังกล่าวเอง โดยมีวัตถุประสงค์เป็นแหล่งกลางในการซื้อขายผลิตผลและสินค้าเกษตรของเกษตรกร โดยมีผู้ซื้อผู้ขายมาทำการซื้อขายกันอย่างเสรีมีระบบการชั่ง ตวง วัด และการตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่เป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย และเพื่อให้เกษตรกรมีตลาดรองรับผลิตผลและสินค้าเกษตรที่แน่นอนและต่อเนื่อง กิจการตลาดกลางดังกล่าวมิใช่กิจการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ ตามมาตรา 9และมิใช่กิจการที่โจทก์มีอำนาจกระทำได้ตามมาตรา 10(1) ถึง (13) แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 แต่เป็นกิจการเฉพาะอย่างที่มิใช่กิจการที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการธนาคารโจทก์ ซึ่งมาตรา 91/4 แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติให้กิจการเฉพาะอย่างของกิจการที่กำหนดไว้ในมาตรา 91/2 ที่มิใช่กิจการที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการตามมาตรา 91/2 ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มการประกอบกิจการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นของโจทก์จึงไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เจ้าหน้าที่ของจำเลยตรวจพบว่าเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน 2541 โจทก์มีรายได้จากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่บุคคลทั่วไป รายได้จากการให้บริการ รายได้จากค่าชั่งผลิตผลรวมบริการตรวจสอบคุณภาพ รายได้ค่าบริการตากสินค้าโดยใช้ลานตากหรือใช้เครื่องอบ รายได้ให้บริการรับฝากสินค้าในฉางข้าวหรือโรงคลุม รายได้ค่าขนย้ายผลิตผลขึ้นรถ รายได้ค่าย้ายกองรวมสินค้า เจ้าพนักงานของจำเลยเห็นว่าการให้บริการค่าชั่งผลิตผลและบริการตรวจสอบคุณภาพ การให้บริการลานตากสินค้าโดยใช้ลานตากหรือใช้เครื่องอบ การให้บริการรับฝากสินค้าในฉางข้าวหรือโรงคลุม เข้าลักษณะเป็นกิจการเฉพาะอย่างที่มิใช่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการธนาคาร โจทก์จึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 91/4 และ 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยโจทก์ยื่นแบบชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มไม่ถูกต้อง โจทก์จึงถูกประเมินภาษีเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นชอบเพียงแต่ปรับปรุงการคำนวณภาษีใหม่สำหรับเดือนภาษีมิถุนายน 2541 เป็นผลให้ภาษีที่โจทก์ต้องชำระลดลงและงดเบี้ยปรับทั้งหมด สำหรับการประเมินรายได้จากการรับฝากสินค้า เป็นไปตามคำให้การชี้แจงของโจทก์ต่อเจ้าพนักงานของจำเลยว่าเป็นการรับฝากสินค้า และเอกสารหลักฐานที่โจทก์ส่งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ส่งมอบการครอบครองฉางข้าวเพื่อการเก็บข้าวเปลือกโดยพ่อค้าจ่ายค่าเช่าฉางไม่ว่าจะมีข้าวเปลือกหรือไม่ในฉาง และพ่อค้าต้องดูแลรับผิดชอบเอง โจทก์มีสิทธิตรวจดูห้องฉางได้เป็นครั้งคราว ข้ออ้างเหล่านี้โจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในภายหลังโดยไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ เอกสารอัตราค่าบริการท้ายฟ้องหมายเลข 11โจทก์ไม่เคยนำส่งในชั้นตรวจสอบและชั้นพิจารณาอุทธรณ์ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นการเช่าสังหาริมทรัพย์ และจำนวนภาษีที่โจทก์อ้างว่า ทำให้โจทก์ต้องเสียเพิ่มขึ้น จำนวน 13,868.17 บาทนั้น ก็ไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินตามหนังสือแจ้งการประเมินเลขที่ 10400010/5/104323 ถึง 10400010/5/104324 ลงวันที่ 6 กันยายน 2542 ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เลขที่ ขก/009/2543และเลขที่ ขก/009.1/2543
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 คงมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลย ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ซึ่งศาลภาษีอากรกลางฟังข้อเท็จจริงว่า กิจการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นเป็นกิจการของโจทก์และดำเนินการโดยโจทก์ ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นได้ดำเนินกิจการในทางช่วยเหลือส่งเสริมอาชีพของเกษตรกร หรือการดำเนินการของเกษตรกรโดยตรง โดยโจทก์ดำเนินการจัดการให้ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นเป็นสถานที่ที่เกษตรกรสามารถนำผลิตผลทางการเกษตรมาซื้อขายกัน ให้มีการพบปะกันของผู้ซื้อและผู้ขายมากราย และทำการซื้อขายกันได้อย่างเสรีเพื่อให้มีราคายุติธรรมมีปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า กิจการตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นเป็นกิจการตามวัตถุประสงค์ของโจทก์ที่โจทก์มีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 หรือเป็นกิจการเฉพาะอย่างที่มิใช่กิจการที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับกิจการธนาคารโจทก์ เห็นว่า พระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 มาตรา 9 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535 มาตรา 5 อันเป็นกฎหมายที่ใช้ขณะเกิดมูลหนี้ค่าภาษีอากรตามฟ้อง ได้บัญญัติวัตถุประสงค์ของธนาคารโจทก์ไว้ว่า ธนาคารมีวัตถุประสงค์ให้ความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อส่งเสริมอาชีพการเกษตรหรือการดำเนินงานของเกษตรกร กลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตร ตลอดจนส่งเสริมให้เกษตรกร กลุ่มเกษตรกรหรือสหกรณ์การเกษตรสามารถประกอบอาชีพอย่างอื่นที่เกี่ยวเนื่องในการเกษตรเพื่อเพิ่มรายได้แก่ครอบครัวและมาตรา 10(13)ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 3)พ.ศ. 2525 มาตรา 5 ได้บัญญัติให้ธนาคารมีอำนาจรวมถึงการกระทำกิจการอย่างอื่นบรรดาที่เกี่ยวกับหรือเนื่องในการจัดให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของธนาคาร ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังยุติตามที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยไว้แล้วว่า ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นได้ดำเนินกิจการในทางช่วยเหลือส่งเสริมอาชีพของเกษตรกรหรือดำเนินการของเกษตรกรโดยตรง ตลาดกลางสินค้าเกษตรขอนแก่นจึงถือเป็นกิจการอย่างอื่นที่ธนาคารโจทก์กระทำเพื่อให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ของธนาคารได้นอกเหนือจากการให้ความช่วยเหลือทางการเงิน ดังที่มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 บัญญัติไว้ดังกล่าว และเมื่อกิจการตลาดกลางเกษตรขอนแก่นเป็นกิจการของโจทก์ รายได้จากกิจการตลาดกลางเกษตรขอนแก่นจึงถือเป็นรายได้ของโจทก์ ไม่อยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นนี้ 600 บาท แทนโจทก์