คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 610/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 7 ได้ทราบนัดโดยชอบแล้ว ศาลชั้นต้นควรจะต้องจัดส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 7 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 7 อีกครั้งหนึ่ง แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งให้ปิดประกาศแจ้งนัดวันสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 3 ให้จำเลยที่ 7 ทราบหน้าศาลเพียงอย่างเดียว ดังนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 7 ทราบนัดสืบพยานโจทก์โดยชอบแล้ว หาได้ไม่ และการที่จำเลยที่ 7 ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานดังกล่าว จึงถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา จึงเป็นการสั่งโดย ผิดหลง และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ
ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 7 ถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้ระบุว่าชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 7 ในฐานะ ผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 1 ขอรับผิดร่วมกันและแทนกันอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเช่นเดียวกับ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ดังนี้ มูลหนี้ของจำเลยทั้งเจ็ดตามฟ้องโจทก์จึงเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ แม้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนหนึ่งคนใดรับผิดชดใช้เงินในมูลหนี้ร่วมที่มิอาจแบ่งแยกได้ให้แก่โจทก์เพียงใด จำเป็นที่ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทุกคนนำสืบให้ปรากฏในสำนวน หรือหากจำเลยคนใดไม่มาศาล ก็ต้องปรากฏเหตุโดยแจ้งชัดว่าศาลชั้นต้นอาจสั่งให้จำเลยผู้นั้นขาดนัดพิจารณาได้โดยชอบ เมื่อคดีปรากฎเหตุที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีก็หาอาจพิจารณาพิพากษาไปโดยไม่รอฟังพยานหลักฐานแห่งการ ขาดนัดพิจารณาของจำเลยที่ 7 ให้ชัดเจนเสียก่อนได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันชำระเงินจำนวน 199,400,190.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 29 ต่อปี ของต้นเงิน 162,287,123.29 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่งซึ่งนำมาทบเข้ากับต้นเงินที่ค้างชำระและคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 29 ต่อปี นับแต่วันที่ค้างชำระดอกเบี้ยไม่น้อยกว่าปีหนึ่งจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งเจ็ดไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3446 ถึง 3449 พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งเจ็ดออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันใช้เงินจำนวน 162,287,123.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 160,000,000 บาท นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2538 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 3446 ถึง 3449 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ กับให้จำเลยทั้งเจ็ดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 50,000 บาท
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2540 เป็นต้นไป ให้ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ตั้งแต่ต้น หมายแจ้งวันเวลานัดให้จำเลยที่ 7 ทราบโดยชอบและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนเสร็จสำนวนแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้รวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ยกอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในการเลื่อนคดีเมื่อไม่ปรากฏหลักฐานใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 7 ได้ทราบนัดโดยชอบแล้ว ศาลชั้นต้นก็ควรที่จะต้องจัดส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 7 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 7 อีกครั้งหนึ่ง เพราะไม่ปรากฏหลักฐานใดที่แสดงว่าจำเลยที่ 7 ได้ทราบนัดโดยชอบแล้ว แต่ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งให้ปิดประกาศแจ้งวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 3 ให้จำเลยที่ 7 ทราบหน้าศาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ส่งหมายนัดให้แก่จำเลยที่ 7 ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 7 ด้วย ดังนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 7 ทราบนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 27 มิถุนายน 2540 โดยชอบแล้วหาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 7 ไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ครั้งที่ 3 วันที่ 27 มิถุนายน 2540 ย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นมีอำนาจกระทำได้โดยมิต้องรอให้โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเสียก่อน เพราะศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นคดีไม่มีข้อยุ่งยาก และนำบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่มาใช้บังคับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 วรรคสอง ก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏหลักฐานเป็นที่แน่ชัดว่าจำเลยที่ 7 ได้รับหมายเรียกของศาลแล้วไม่มาศาลตามกำหนดนัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 196 วรรคสอง (3) ศาลชั้นต้นก็ไม่อาจมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 7 ขาดนัดพิจารณาแล้วพิจารณาคดีสำหรับจำเลยที่ 7 ไปฝ่ายเดียวได้ กรณีดังกล่าวจึงเป็นการสั่งโดยผิดหลง และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบโดยไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดี และเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำสั่งและการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) และมาตรา 27 ประกอบด้วยมาตรา 246
ตามสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 7 ถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 7 ในฐานะผู้ค้ำประกันของจำเลยที่ 1 ขอรับผิดร่วมกันและแทนกันอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ดังนี้ มูลหนี้ของจำเลยทั้งเจ็ดตามฟ้องโจทก์จึงเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม แต่การที่ศาลจะพิพากษาให้จำเลยคนหนึ่งคนใดรับผิดชดใช้เงินในมูลหนี้ร่วมที่มิอาจแบ่งแยกได้ให้แก่โจทก์เพียงใด จำเป็นที่ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทุกคนนำสืบให้ปรากฏในสำนวน หรือหากจำเลยคนใดไม่มาศาลก็ต้องปรากฏเหตุโดยแจ้งชัดว่าศาลชั้นต้นอาจสั่งให้จำเลยผู้นั้นขาดนัดพิจารณาได้โดยชอบ เมื่อคดีปรากฏเหตุที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยการพิจารณาคดีเช่นนี้ ศาลอุทธรณ์ก็หาอาจพิจารณาพิพากษาอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปโดยไม่รอฟังหลักฐานแห่งการขาดนัดพิจารณาของจำเลยที่ 7 ให้ชัดเจนเสียก่อนได้ไม่ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ อย่างไรก็ดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยเห็นว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2540 นั้นไม่ถูกต้องเพราะกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ผิดระเบียบเริ่มตั้งแต่วันนัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 27 มิถุนายน 2540 เป็นต้นไป แต่แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยว่าวันที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบแตกต่างออกไปก็ไม่ทำให้ผลของคำพิพากษาเปลี่ยนไป เพราะก่อนหน้านั้นจำเลยอื่นเพียงแต่ยื่นคำให้การไว้เท่านั้น ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยในผลที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานโจทก์ใหม่ตั้งแต่ต้น หมายแจ้งวันนัดให้จำเลยที่ 7 ทราบโดยชอบและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนเสร็จสำนวนแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ฎีกาของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share