แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่เช่า จำเลยขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์ได้ยกคำร้องขอทุกเลาการบังคับ และนัดสอบถามจำเลยเรื่องให้ออกจากที่เช่า โจทก์จำเลยได้ยื่นคำแถลงต่อศาลร่วมกันว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาปราณีประนอมยอมความต่อกัน คือจำเลยยอมออกจากห้องพิพาทภายใน 3 เดือน ถ้าพ้นกำหนดนี้แล้ว จำเลยยังไม่ออกจากห้องพิพาท จำเลยถือว่าได้ส่งคืนห้องให้แก่โจทก์แล้ว และยอมให้โจทก์ใช้สิทธิเข้าอยู่ในห้องนี้ได้ทันที และโจทก์ขอให้งดสอบถาม ดังนี้คำแถลงของโจทก์จำเลยเป็นแต่เพียงตกลงกันยืดเวลาในการบังคับคดีไปเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมออกตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน โจทก์จะนำมาฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยใหม่หาได้ไม่.
ย่อยาว
ความว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยในคดีนี้ต่อศาลแขวงพระนครใต้ ขอให้ขับไล่ออกจากที่รายเดียวกันนี้ ศาลแขวงฯ พิพากษาให้ขับไล่ จำเลยขอทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องเสีย โจทก์จำเลยได้ยื่นคำแถลงต่อศาลร่วมกันว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาปราณีประนอมยอมความต่อกัน คือจำเลยยอมออกจากที่พิพาทภายใน ๓ เดือน แต่จำเลยมิได้ถอนอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาพิพากษาใหม่ โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทรายเดียวกัน โดยอ้างว่าจำเลยได้ทำหนังสือให้ความยินยอมว่าจะออกจากตึกเช่าภายใน ๓ เดือนดังปรากฎตามสำนวนคดีแดง ๔๘/๒๔๙๐ ของศาลแขวงใต้ ครบกำหนดแล้วจำเลยหาออกไม่ จำเลยต่อสู้ว่า (๑) เป็นการฟ้องซ้ำ (๒) หนังสือยอมของจำเลยทำตามคำสั่งศาล (๓) คำยินยอมของจำเลยในคดีก่อนถูกศาลอุทธรณ์พิพากษายกเสียแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา,
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีได้ความดังกล่าวข้างต้น เห็นว่าคำแถลงของโจทก์จำเลยลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๙๐ ซึ่งได้ยื่นในคดีก่อนนั้น เป็นแต่เพียงเรื่องตกลงยืดเวลาในการบังคับคดีไปเท่านั้นมิใช่เป็นการยอมออกตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน โจทก์จะนำมาฟ้องร้องให้บังคับเป็นคดีขึ้นใหม่หาได้ไม่
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.