แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้แก่โจทก์ เพื่อแทนเช็คจำนวน 10 ฉบับ ที่จำเลยได้สั่งจ่ายชำระหนี้ค่ากระจกให้แก่โจทก์และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยมีข้อตกลงกันว่า เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดจำเลยจะนำเช็คใหม่หรือเงินสดมาแลกเช็คพิพาทไปจากโจทก์โดยไม่ให้โจทก์นำเช็คเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ถือได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้แก่โจทก์โดยมีเจตนาเพื่อให้เป็นประกันการชำระหนี้ที่โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คทั้งสิบฉบับของจำเลยไม่ได้ หาได้มีเจตนาที่จะให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ตามวิธีการในทางแพ่งของกฎหมายลักษณะตั๋วเงินไม่ แม้ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสามฉบับการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 3 กระทง โดยโทษตามเช็คฉบับแรกและฉบับที่สองจำคุกกระทงละ 1 เดือน โทษตามเช็คฉบับที่สามจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 5 เดือน คำเบิกความของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง นับเป็นเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 เดือน 10 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ในชั้นพิจารณาโจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า เช็คพิพาททั้งสามฉบับ เป็นเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ค่ากระจกให้แก่พยาน พยานไม่มีข้อตกลงกับจำเลยว่าพยานจะไม่นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินแต่ให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้เมื่อเช็คพิพาททั้งสามฉบับถึงกำหนดแต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์กลับเบิกความเป็นพยานว่า ก่อนจำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสามฉบับแก่พยาน จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 10 ฉบับ ชำระหนี้ค่ากระจกให้แก่พยานก่อน เมื่อเช็คทั้งสิบฉบับดังกล่าวเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้จำเลยจึงได้ติดต่อขอผ่อนชำระหนี้ให้แก่พยาน โดยสั่งจ่ายเช็คพิพาทในคดีนี้ให้พยานแทน สำหรับเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1และ จ.3 พยานมีข้อตกลงกับจำเลยว่าไม่ต้องนำไปเรียกเก็บเงินเมื่อถึงกำหนดแล้วจำเลยจะนำเช็คฉบับใหม่มาเปลี่ยนกับพยาน การที่โจทก์เบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องกับในชั้นพิจารณาถึงข้อเท็จจริงแตกต่างกันเช่นนี้ เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ที่โจทก์ไม่นำเช็คพิพาทเรียกเก็บเงินจากธนาคารตรงตามวันที่สั่งจ่ายในเช็คดังกล่าวแล้วทำให้เชื่อได้ตามคำเบิกความของโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสามฉบับให้แก่โจทก์นั้น เป็นการออกเช็คเพื่อแทนเช็คจำนวน 10 ฉบับ ที่จำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้ค่ากระจกให้แก่โจทก์และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยมีข้อตกลงกันว่าเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนดจำเลยจะนำเช็คใหม่หรือเงินสดมาแลกเช็คพิพาทไปจากโจทก์ โดยไม่ให้โจทก์นำเช็คเรียกเก็บเงินจากธนาคาร ซึ่งสำหรับเช็คพิพาทตามเอกสารหมาย จ.5 นั้นก็ปรากฏว่าโจทก์รับมาในวันเดียวกันกับเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.1 และ จ.3 และตามพฤติการณ์มีเหตุน่าเชื่อว่า โจทก์ได้รับเช็คทั้งสามฉบับไว้พร้อมกันและโดยในสถานะอย่างเดียวกัน กรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าจำเลยออกเช็คพิพาททั้งสามฉบับ ของจำเลยให้แก่โจทก์ โดยจำเลยมีเจตนาเพื่อให้เช็คพิพาทดังกล่าวเป็นประกันการชำระหนี้ที่โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คทั้งสิบฉบับของจำเลยไม่ได้ หาได้มีเจตนาที่จะให้โจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามวิธีการในทางแพ่งของกฎหมายลักษณะตั๋วเงินไม่ แม้ธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน