คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2551

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ตามคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางและเปิดทางภาระจำยอมและให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ แม้จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินของจำเลยมิได้ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ แต่ก็มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์อันจะทำให้กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์ที่พิพาทส่วนที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวถือเป็นค่าเสียหายในอนาคต จึงไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทได้ คดีตามคำฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด ศาลแขวงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนลวดทองแดงไฟฟ้าและรื้อถอนไม้ที่ขวางกั้นปิดทางกับสิ่งต่างๆ บริเวณสองข้างทางและเปิดทางภาระจำยอมกว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร ยาวประมาณ 300 เมตร และห้ามมิให้จำเลยรบกวนหรือขัดขวางการใช้ทางภาระจำยอมอีกต่อไป ให้จำเลยไปจดทะเบียนทางภาระจำยอมในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3) เลขที่ 357 ตำบลพนม อำเภอพนม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้อง หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้คู่ความประเมินราคาสิทธิในทางพิพาทเพื่อเก็บค่าธรรมเนียมศาล คู่ความทั้งสองฝ่ายแถลงว่าราคาทางพิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงสุราษฎร์ธานี จึงมีคำสั่งให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีและให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้น ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา ให้ส่งสำนวนคืนมายังศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนและแจ้งคำสั่งของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีให้คู่ความทราบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีไม่รับโอนคดีและส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้น เมื่อศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนมาแล้วได้นัดพร้อมคู่ความและแจ้งคำสั่งของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีให้คู่ความทราบเพื่อให้คู่ความดำเนินการตามกฎหมายต่อไป กรณีเป็นเรื่องศาลชั้นต้นกับศาลแขวงสุราษฎร์ธานีต่างไม่รับพิจารณาพิพากษาคดีของโจทก์ แม้เนื้อหาอุทธรณ์ของโจทก์จะเป็นการโต้แย้งคำสั่งของศาลแขวงสุราษฎร์ธานีที่ไม่ยอมรับโอนคดี แต่เมื่อศาลชั้นต้นรับสำนวนคืนจากศาลแขวงสุราษฎร์ธานีไว้แล้ว ทั้งคดียังมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยว่า ระหว่างศาลชั้นต้นกับศาลแขวงสราษฎร์ธานีศาลใดจะต้องพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไป โจทก์ชอบที่จะมีสิทธิอุทธรณ์โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นได้ ส่วนปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า ศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี) ชอบที่จะโอนคดีเรื่องนี้ไปให้ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีพิจารณาพิพากษาได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องเป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งกีดขวางและเปิดทางภาระจำยอมและให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอมจึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณราคาเป็นเงินได้ แม้จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่ดินของจำเลยมิได้ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ แต่ก็มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้การต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์อันจะทำให้กลายเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ตามราคาทรัพย์ที่พิพาท ส่วนที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องนั้นเป็นค่าเสียหายในอนาคตจึงไม่อาจนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทได้ คดีตามคำฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ซึ่งอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลจังหวัด ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีและจำหน่ายคดีจึงเป็นการไม่ชอบ”
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โอนคดีไปพิจารณาพิพากษาที่ศาลแขวงสุราษฎร์ธานีและคำสั่งจำหน่ายคดี ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีนี้ต่อไปค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share