คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6092/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จำเลยที่ 3 จะสอบถามจากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์เพื่อทำการรักษาก็ตาม ก็มิใช่วิสัยของบุคคลผู้มีวิชาชีพเป็นแพทย์จะพึงกระทำไม่ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉินที่โจทก์อยู่ห่างกันเพียง 20 เมตร ไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยอันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถมาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ได้ด้วยตนเองแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อ เมื่อพยาบาลฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการ หลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน อาการแพ้ยาดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
ความยินยอมของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 3 ทำการรักษา หากการรักษานั้นไม่ได้เป็นไปตามมาตรแห่งวิชาชีพแพทย์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายโจทก์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อันเป็นการกระทำละเมิด จำเลยที่ 3 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 อันเป็นหน่วยงานของรัฐให้รับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ได้
ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็นและค่าสูญเสียความสวยงาม ถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ซึ่งโจทก์จึงมีสิทธิเรียกได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าโจทก์ประกอบอาชีพด้วยหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าจำเลยที่ 3 ตรวจอาการป่วยของโจทก์โดยประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้โจทก์เกิดอาการแพ้ยา เกิดพุพองตามผิวหนังของร่างกายและเน่าเฟะ ที่นัยน์ตาของโจทก์เกิดอาการพร่ามัวทำให้โจทก์ขาดสมรรถภาพในการมองเห็น ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 กันยายน 2541) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพนมสารคารสังกัดจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่บริหารงานของโรงพยาบาลและปฏิบัติหน้าที่ในฐานะแพทย์ตรวจรักษาคนไข้ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2541 เวลา 10 นาฬิกา โจทก์ซึ่งตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน มีอาการเจ็บท้องได้มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคาม แพทย์ให้การรักษาโจทก์โดยให้ยากันมดลูกหดตัวและยานอนหลับหรือยากันชัก ได้แก่ ยาบริคานิลและฟีโนบาร์บ โจทก์นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลดังกล่าวจนถึงวันที่ 4 เมษายน 2541 เวลา 9 นาฬิกา ก็ออกจากโรงพยาบาล แต่ในวันเดียวกันเวลาประมาณ 22 นาฬิกา โจทก์มาตรวจรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคารอีกครั้ง เนื่องจากโจทก์หกล้มท้องกระแทกกับต้นไม้ แพทย์ให้การรักษาโจทก์โดยยังคงให้ยาบริคานิลและฟีโนบาร์บ กับเพิ่มยาโนสปาแก้ปวดท้อง โจทก์นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลจนถึงวันที่ 12 เมษายน 2541 ต่อมาวันที่ 15 เมษายน 2541 เวลาประมาณ 4 นาฬิกา โจทก์มารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามอีกครั้ง ซึ่งมีจำเลยที่ 3 เป็นแพทย์เวรผู้ให้การรักษา และในวันเดียวกันเวลาบ่ายโจทก์ขอย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทราโดยโจทก์มีอาการแพ้ยา มีแผลพุพองที่ใบหน้า ปาก ตาทั้งสองข้าง กับตามร่างกายทั่วไป และกระจกตาข้างซ้ายทะลุ ทำให้เกิดอาการพร่ามัว ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ก่อนว่า จำเลยที่ 3 กระทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามก็ตาม แต่ก็ได้สอบถามอาการและประวัติการรักษาของโจทก์จากพยาบาลก่อนทำการรักษา และได้ให้ยาบริคานิลซึ่งเป็นยาที่โจทก์เคยได้รับมาแล้วจากการรักษาของแพทย์อื่น ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด ความเสียหายของโจทก์จึงมิใช่ผลโดยตรงจากการตรวจรักษาของจำเลยที่ 3 ทั้งโจทก์ปกปิดไม่แจ้งเรื่องการแพ้ยาแก่แพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลพนมสารคาม นับว่าโจทก์มีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายดังกล่าวด้วย จำเลยที่ 3 มิได้กระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัย เห็นว่า การตรวจและวินิจฉัยโรคของแพทย์โดยเฉพาะการตรวจร่างกายของผู้ป่วยถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยโรคว่าผู้ป่วยเป็นโรคอะไร พยาธิสภาพอยู่ที่ไหนและอยู่ในระยะใดเพื่อจะนำไปสู่การรักษาได้ถูกต้องในขั้นตอนนี้แพทย์จักต้องใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์มิให้เกิดความผิดพลาดขึ้นได้ เพราะอาจนำมาซึ่งอันตรายที่จะเกิดแก่ร่างกายหรือชีวิตของผู้ป่วยในขั้นตอนการรักษาที่ต่อเนื่องกันเมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 3 มิได้ตรวจดูอาการของโจทก์ตั้งแต่แรกเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพนมสารคามด้วยตนเอง แต่วินิจฉัยโรคและสั่งการรักษาอาการของโจทก์ตามที่ได้รับรายงานทางโทรศัพท์จากพยาบาลแทนโดยไม่ได้ตรวจสอบประวัติการรักษาของโจทก์ด้วยตนเอง แม้จำเลยที่ 3 จะสอบถามอาการและประวัติการรักษาของโจทก์จากพยาบาลก่อนที่พยาบาลจะฉีดยาให้แก่โจทก์เพื่อทำการรักษาก็ตาม ก็หาใช่วิสัยของบุคคลผู้มีวิชาชีพเป็นแพทย์จะพึงกระทำไม่ ทั้งห้องแพทย์เวรกับห้องฉุกเฉินที่โจทก์อยู่ห่างกันเพียง 20 เมตร ตามพฤติการณ์ก็ไม่ปรากฏว่ามีเหตุสุดวิสัยอันทำให้จำเลยที่ 3 ไม่สามารถมาตรวจวินิจฉัยอาการของโจทก์ได้ด้วยตนเองแต่อย่างใด ถือได้ว่าจำเลยที่ 3 ประมาทเลินเล่อ เมื่อพยาบาลได้ฉีดยาบริคานิลให้แก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 3 สั่งการหลังจากนั้นโจทก์มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์มีอาการเช่นว่านั้นมาก่อน อาการแพ้ยาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 3 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาอ้างว่า โจทก์ปกปิดไม่แจ้งเรื่องการแพ้ยาให้ทราบนั้น ข้อนี้โจทก์เบิกความยืนยันว่า หลังจากพยาบาลฉีดยาให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์มีอาการชักและเกร็งทั้งตัว จึงบอกพยาบาลว่าเข้าใจว่าจะแพ้ยาดังกล่าว เจ็บทนไม่ไหว ขอให้ชักสายน้ำเกลือออกแต่พยาบาลไม่ยอม แสดงว่าโจทก์ว่าจะเพิ่งทราบว่าตนเองแพ้ยาเพราะตามประวัติการรักษาของโจทก์ไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยแพ้ยามาก่อน จึงฟังไม่ได้ว่า โจทก์มีส่วนผิดที่ปกปิดไม่แจ้งเรื่องการแพ้ยาดังกล่าว ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า โจทก์ได้ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 1 แล้วว่า หากโจทก์ได้รับอันตรายอันเนื่องจากการรักษา โจทก์จะไม่เรียกร้องหรือฟ้องร้องแก่เจ้าหน้าที่และส่วนราชการเจ้าสังกัดของโรงพยาบาลพนมสารคามตามคำยินยอมให้ทำการรักษา จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่า ความยินยอมของโจทก์ที่ให้จำเลยที่ 3 ทำการรักษาดังกล่าวแม้จะเป็นการแสดงออกให้จำเลยที่ 3 กระทำต่อร่างกายของโจทก์เพื่อการรักษาได้ก็ตาม แต่หากการรักษานั้นไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานแห่งวิชาชีพแพทย์ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายของโจทก์ ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 3 อันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยที่ 3 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจกท์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 อันเป็นหน่วยงานของรัฐให้รับผิดต่อโจทก์ในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำในการปฏิบัติหน้าที่ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
คงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่อไปว่า โจทก์ควรได้รับค่าเสียหายเพียงใด เห็นว่า ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็นและค่าเสียความสวยงามของโจทก์ดังที่คู่ความฎีกามานั้น ถือได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446 โดยไม่จำต้องคำนึงว่าโจทก์ประกอบอาชีพด้วยหรือไม่ ได้ความตามคำเบิกความของนายวัฒนา แพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา พยานจำเลยว่าอาการแพ้ยาของโจทก์อาจจึงขั้นเสียชีวิต หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที ทั้งนายสุรชัยแพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทรา พยานจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า กระจกตาดำข้างซ้ายของโจทก์เป็นแผลเปื่อยอักเสบบางลง อาจเป็นสาเหตุให้กระจกตาทะลุ ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ต้องเปลี่ยนกระจกตาดำและจะกลับมามองเห็นได้ ส่วนจะกลับเป็นปกติหรือไม่นั้นอยู่กับผลการผ่าตัด ซึ่งข้อนี้นายวิรัช แพทย์ประจำโรงพยาบาลเมืองฉะเชิงเทราพยานโจทก์เองกลับเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ดวงตาของโจทก์สามารถผ่าตัดเปลี่ยนแก้วตาจะทำให้มองเห็นได้ชัดเจนตามปกติ ประกอบกับขณะเกิดเหตุโจทก์ตั้งครรภ์ได้ 6 เดือน ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 3 เดือน ย่อมเป็นความทุกข์ทรมานที่โจทก์รู้สึกได้ตลอดเวลาที่อยู่ในระหว่างการรักษา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดให้โจทก์ได้รับค่าความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินคือ ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย 400,000 บาท ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็น 800,000 บาท และค่าสูญเสียความสวยงามของโจทก์ 800,000 บาท รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 2,000,000 บาท มานั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาข้อนี้ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งสองฝ่ายให้เป็นพับ

Share