แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ว.แทนโจทก์ทราบเมื่อประมาณเดือนกันยายน2534ว่าที่ดินพิพาทมีชื่อผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ซึ่งถือได้ว่าโจทก์รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลแล้วแต่โจทก์ก็ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่1กรกฎาคม2535ซึ่งเป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลและยังอยู่ภายในกำหนดเวลา1ปีนับแต่เวลาที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนดังกล่าวอายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/14(5)และตราบใดที่ที่ดินพิพาทยังถูกยึดอยู่เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ยังไม่สิ้นสุดอายุความไม่เริ่มนับใหม่ตามมาตรา193/15วรรคสองดังนั้นเมื่อผู้ร้องร้องขัดทรัพย์ว่าที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องโจทก์ต่อสู้ว่ายังเป็นของจ. โดยการโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลคดีจึงไม่ขาดอายุความ
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมชำระหนี้ของนางจินตนา โหตรภวานนท์ ผู้วายชนม์ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามสัญญาซื้อขายหลักทรัพย์และหนังสือรับสภาพหนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยให้รับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกทอดได้แก่จำเลยทั้งสาม และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 47638 เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยอ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนางจินตนา
ผู้ร้องทั้งสามยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องทั้งสามเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยทั้งสามในคดีนี้ ที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องทั้งสามมิใช่ทรัพย์มรดกของนางจินตนาซึ่งตกทอดได้แก่ผู้ร้องทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรม โจทก์ไม่มีสิทธินำยึดขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
โจทก์ให้การว่า ที่ดินที่โจทก์นำยึดมิได้เป็นของผู้ร้องทั้งสามแต่เป็นทรัพย์มรดกของนางจินตนา ซึ่งตกทอดได้แก่ผู้ร้องทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรม ผู้ร้องทั้งสามได้ที่ดินมาโดยนางจินตนามารดายกให้โดยเสน่หา เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2532 ก่อนนางจินตนาถึงแก่กรรมเพียง 18 วัน อันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉล เนื่องจากนางจินตนาไม่ต้องการให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ ทำให้โจทก์เสียเปรียบผู้ร้องทั้งสามไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด ขอให้ยกคำร้องขอ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้องขอ
ผู้ร้องทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นควรวินิจฉัยฎีกาของผู้ร้องทั้งสามในปัญหาว่า การที่โจทก์ทราบเรื่องที่นางจินตนาโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามเมื่อเดือนกันยายน 2534แต่มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอนการโอน คดีขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 240 หรือไม่เสียก่อน เห็นว่าแม้นายวัชรินทร์ นิลโมจน์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้แทนโจทก์ในการบังคับคดีจะเบิกความตอบทนายผู้ร้องทั้งสามถามค้านว่า พยานทราบเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2534 ว่า ที่ดินพิพาทมีชื่อผู้ร้องทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ซึ่งถือได้ว่าโจทก์รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนการฉ้อฉลแล้วก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2535 ซึ่งเป็นการกระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับการฟ้องคดีขอให้เพิกถอนการฉ้อฉล และยังอยู่ภายในกำหนดเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์ได้รู้ต้นเหตุอันเป็นมูลให้เพิกถอนดังกล่าว อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(5)และตราบใดที่ที่ดินพิพาทยังถูกยึดอยู่ เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ยังไม่สิ้นสุด อายุความไม่เริ่มนับใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/15 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อผู้ร้องทั้งสามมาร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินพิพาทที่โจทก์นำยึดเป็นของผู้ร้องทั้งสาม โจทก์ต่อสู้ว่ายังเป็นของนางจินตนาโดยการโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลคดีจึงไม่ขาดอายุความ ทั้งนับแต่วันที่ 26 มกราคม 2532ที่นางจินตนายกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องทั้งสามยังไม่พ้น 10 ปีก็ไม่ขาดอายุความ ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน