คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6077/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าจำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ด้วยหวังว่าจะได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตลอดไปการที่โจทก์ไม่ให้จำเลยเช่าต่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายคือค่าก่อสร้างและตกแต่งสถานที่ค่าเช่าที่จำเลยเสียให้โจทก์ไปเพื่อหวังจะทำการค้าแต่ไม่ได้ประโยชน์เพราะเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยและทำการพิจารณาอนุมัติล่าช้าคิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น43,690บาทซึ่งเป็นค่าเช่า2ปีที่โจทก์รับล่วงหน้าจากจำเลยรวมทั้งค่าเสียหายที่ไม่อาจใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ชื่อร้านชูจันทร์ในสถานที่เดิมได้ดังนี้จำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ไม่ให้จำเลยเช่าต่อแต่จำเลยอ้างว่าจำเลยมิได้ผิดสัญญาและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไขจะบังคับได้ต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่จำเลยแล้วจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2529 จำเลยได้เช่าที่ดินของโจทก์ใกล้บ้านพักพนักงานรถไฟสถานีสามเสน แขวงสามเสนในเขตพญาไท กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 266.90 ตารางเมตร เพื่อนำมาจัดวางพันธุ์ไม้ประดับจำหน่ายแก่บุคคลทั่วไป ต่อมาจำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขออนุญาตสร้างเพิงกันแดด กันฝนชั่วคราวสามารถเคลื่อนย้ายและรื้อถอนได้ง่ายและขอตั้งโต๊ะรับประทานอาหารบนพื้นที่เช่า โจทก์อนุญาต โจทก์และจำเลยได้ตกลงทำสัญญาเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวใหม่ ตามสัญญาเช่าลงวันที่ 21 กุมภาพันธ์2532 กำหนดการเช่า 1 ปี นับแต่วันที่ 22 กันยายน 2531 ถึงวันที่21 กันยายน 2532 ค่าเช่าปีละ 26,690 บาท กำหนดให้จำเลยต้องยื่นแผนผังที่จะปลูกสร้างสิ่งใดลงบนที่เช่า เพื่อให้โจทก์อนุมัติก่อนจึงจะลงมือสร้างได้ ถ้าจำเลยผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดยอมให้โจทก์ปรับเท่ากับค่าเช่า 1 ปี และให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ทันที เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2532 เจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าจำเลยปลูกสร้างอาคารลักษณะมั่นคงแข็งแรง ไม่สามารถเคลื่อนย้ายรื้อถอนได้ง่าย ทั้งจำเลยมิได้ยื่นแผนผังที่จะปลูกสร้างดังกล่าว เพื่อให้โจทก์อนุมัติก่อนตามสัญญา โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยระงับการก่อสร้าง และให้จำเลยยื่นแผนผังเพื่อขออนุมัติจากโจทก์ก่อนจำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงมีหนังสือให้จำเลยนำค่าปรับจำนวน 26,690 บาท มาชำระแก่โจทก์ จำเลยไม่ชำระโจทก์บอกเลิกการเช่าและให้จำเลยรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเท่ากับค่าเช่านับแต่วันที่22 กันยายน 2532 ถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2536 รวมเวลา 3 ปี5 เดือน เป็นเงิน 115,660 บาท และค่าปรับอีก 26,690 บาทรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 142,350 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยชำระเงิน 142,350 บาท แก่โจทก์และค่าเสียหายต่อไปปีละ26,690 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนอาคารสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยรับว่าเช่าที่ดินจากโจทก์ตามฟ้องจริง แต่ไม่เคยผิดสัญญา จนถึงปี 2531 จำเลยมีหนังสือขออนุญาตก่อสร้างอาคารและจัดตั้งโต๊ะอาหาร หลังจากนั้นโจทก์อนุญาตและได้อนุญาตเพิ่มเติมใช้ประโยชน์ในที่ดินที่เช่าเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2531 การขออนุญาตของจำเลยและโจทก์ได้อนุญาตตามขอเป็นเรื่องที่เป็นไปตามสัญญาเช่าปี 2531ไม่เกี่ยวกับสัญญาเช่าปี 2532 จำเลยก่อสร้างอาคารไปตามที่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ สามารถรื้อถอนได้ง่ายและไม่จำต้องทำแบบหรือแผนผัง จำเลยจึงไม่ต้องส่งแผนผังให้โจทก์ก่อนโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาก่อสร้างอาคาร 2 ชั้นจึงไม่เป็นความจริงโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับและค่าปรับโจทก์ก็คิดไม่ถูกต้องสัญญาเช่าปี 2532 ครบกำหนดการเช่าแล้ว โจทก์มาบอกเลิกการเช่าในปี 2534 จึงเป็นการบอกเลิกที่ไม่ชอบ ทั้งผู้ที่บอกเลิกสัญญามิใช่เป็นคู่สัญญาจึงไม่มีอำนาจบอกเลิกสัญญาได้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้เพราะจำเลยมิได้ผิดสัญญาตรงกันข้ามจำเลยทำสัญญากับโจทก์ก็ด้วยความคาดหวังว่าจะได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตลอดไป การที่โจทก์ไม่ให้จำเลยเช่าต่อไปนั้นเป็นการผิดสัญญาและทำให้จำเลยได้รับความเสียหายคือสิ้นค่าก่อสร้างและค่าตบแต่งสถานที่เพื่อทำร้านค้าขายอาการตามที่โจทก์อนุญาตเป็นจำนวนเงิน1,000,000 บาท ค่าเสียหายที่จำเลยต้องเสียค่าเช่าแก่โจทก์เพื่อหวังจะทำการค้าแต่ทำไม่ได้และที่โจทก์อนุญาตล่าช้าและยังฟ้องจำเลยเป็นจำนวน 43,690 บาท และค่าเสียหายที่ไม่อาจใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ชื่อร้ายชูจันทร์ในสถานที่เช่าเพราะถูกโจทก์ฟ้องขับไล่เป็นเงิน 1,000,000 บาท รวมค่าเสียหายทั้งสิ้น 2,043,690 บาท ขอให้ยกฟ้อง และบังคับโจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวน 2,043,690 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การจำเลย แต่ไม่รับฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้งไว้พิจารณา
โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์รับสำเนาอุทธรณ์เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2536 โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์พ้นกำหนด15 วันจึงไม่รับคำแก้อุทธรณ์ แต่รับไว้เป็นคำแถลงการณ์
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ยื่นคำแก้อุทธรณ์ภายในกำหนดขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ ศาลชั้นต้นส่งคำร้องดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รับคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย โดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่า โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทำสัญญาเช่ากับโจทก์ด้วยหวังว่าจะได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ตลอดไป การที่โจทก์ไม่ให้จำเลยเช่าต่อทำให้จำเลยได้รับความเสียหายคือ 1. ค่าก่อสร้างและตกแต่งสถานที่ 2. ค่าเช่าที่จำเลยเสียให้โจทก์ไปเพื่อหวังจะทำการค้าแต่ไม่ได้ประโยชน์เพราะเหตุที่โจทก์ฟ้องจำเลยและทำการพิจารณาอนุมัติล่าช้าคิดเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 43,690 บาท ซึ่งเป็นค่าเช่า 2 ปีที่โจทก์รับล่วงหน้าจากจำเลย 3. ค่าเสียหายที่ไม่อาจใช้เครื่องหมายการค้าของจำเลยที่ชื่อร้านชูจันทร์ในสถานที่เดิมได้ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยฟ้องแจ้งเรียกค่าเสียหายดังกล่าวเนื่องจากโจทก์ไม่ให้จำเลยเช่าต่อแต่จำเลยอ้างว่า จำเลยมิได้ผิดสัญญาและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข จะบังคับได้ต่อเมื่อศาลพิพากษาขับไล่>จำเลยแล้ว จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ศาลล่างทั้งสองไม่รับฟ้องแย้งของจำเลยชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share