คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6066/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนี้ตามฟ้องของโจทก์เกิดขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้ว โจทก์จึงไม่อาจนำหนี้ดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 27,91และ 94 จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ในระหว่างจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เท่ากับเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินซึ่งไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้เช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีสิทธินำมาฟ้องจำเลยให้รับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณกลางเดือนมิถุนายน 2535จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาท่ามะการวม 2 ฉบับ ชำระหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยรถยนต์ ฉบับแรกเช็คเลขที่ 3047436 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2535 สั่งจ่ายเงินจำนวน15,000 บาท ฉบับที่สองเช็คเลขที่ 3047437 ลงวันที่ 14สิงหาคม 2535 สั่งจ่ายเงินจำนวน 14,539 บาท เมื่อเช็คทั้งสองฉบับถึงกำหนด โจทก์ได้นำไปเบิกเงินสดที่ธนาคารตามเช็ค ปรากฎว่าธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าว ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 923 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 30,462 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 29,539 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2535 ทำให้ทรัพย์สินของจำเลยตกอยู่ในอำนาจดูแลจัดการของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและยังไม่หลุดพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลาย เช็คดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีมูลหนี้โจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยขอบด้วยกฎหมายไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์ทราบว่าจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแต่ไม่ไปขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย จึงหมดสิทธิจะได้รับชำระหนี้และจะฟ้องจำเลยอีกไม่ได้ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าจำเลยถูกศาลชั้นต้นพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่13 พฤษภาคม 2535 ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.6/2535 ของศาลชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายของจำเลยตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 135(2)เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2536 ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 29,539 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายใน 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือไม่เห็นว่า หนี้ตามฟ้องโจทก์เกิดขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้วโจทก์จึงไม่อาจนำหนี้ดังกล่าวมายื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 27, 91 และ 94 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ภายใน2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจึงหมดสิทธิได้รับชำระหนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาอ้างว่า การสั่งจ่ายเช็คพิพาทของจำเลยในระหว่างที่จำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว เป็นการจัดการทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ซึ่งฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22 เช็คพิพาทจึงตกเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีอำนาจนำเช็คพิพาทมาฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้ว พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 24 บัญญัติห้ามมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตน เว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ผู้จัดการทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันในระหว่างจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล. 6/2535 ของศาลชั้นต้นจึงเท่ากับเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เช็คพิพาททั้งสองฉบับที่จำเลยสั่งจ่ายชำระให้โจทก์จึงเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธินำเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาฟ้องจำเลยให้รับผิด คำแก้ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษายืน

Share