แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กำหนดเรื่องการชำระราคากันว่าโจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลยในวันทำสัญญาแล้ว 10,000 บาท ที่เหลือส่งชำระเป็นรายเดือน เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะครบ 37,500 บาทจำเลยจึงจะโอนสิทธิให้ แม้โจทก์มิได้ชำระเงินทุกเดือนรวมหลาย ๆ เดือนชำระครั้งหนึ่ง ไม่ได้ถือกำหนดเวลาในสัญญาเป็นสำคัญก็ตาม แต่เมื่อต่อมาโจทก์รื้อบ้านของโจทก์ที่ปลูกไว้ออกจากที่ดินดังกล่าวไปแล้วไม่ได้ชำระเงินให้จำเลยนานถึง 4 ปีเศษ โดยจำเลยไม่เคยทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้อีกเลย แสดงว่าโจทก์จำเลยเลิกสัญญากันโดยปริยายแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ในราคา37,500 บาท โจทก์ผ่อนชำระให้จำเลยแล้วเป็นเงิน 17,000 บาทส่วนที่เหลือ 10,500 บาท โจทก์นำไปชำระให้จำเลยและให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ จำเลยไม่ยอมรับเงินและไม่ยอมโอนที่ดินให้โจทก์ จึงนำเงินไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์โจทก์ได้บอกให้จำเลยไปรับเงิน แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยรับเงินส่วนที่เหลือจำนวน 10,500 บาท จากโจทก์ และไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามเลขที่ดิน 11 ตำบลธานีอำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เนื้อที่ 150 ตารางวา ให้แก่โจทก์ทันทีถ้าจำเลยไม่ยินยอมไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ขอถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน
จำเลยให้การว่า ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระเงินให้จำเลย จำเลยทวงถามแล้ว แต่โจทก์ไม่ชำระหลังจากสิ้นเดือนกันยายน 2523 จำเลยจึงบอกเลิกสัญญากับโจทก์และริบเงินที่โจทก์ชำระไว้ โจทก์ตกลงเลิกสัญญา และให้ริบเงิน จำเลยไม่เคยผ่อนผันขยายเวลาชำระเงินให้โจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธินำเงินมาชำระราคาที่ดินและบังคับให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า บุตรสาวจำเลยเป็นผู้ชวนให้โจทก์มาซื้อที่ดินพิพาท โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันและโจทก์ชำระเงินให้จำเลยแล้ว 34 งวด ครั้งสุดท้ายชำระวันที่30 กันยายน 2523 แล้วไม่ได้ชำระให้จำเลยอีก ต่อมาวันที่ 30 มกราคม2528 โจทก์ได้นำเงินส่วนที่เหลือไปวางต่อสำนักงานวางทรัพย์และวินิจฉัยว่าตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินได้กำหนดเรื่องการชำระราคากันไว้ว่า ผู้ซื้อได้ชำระเงินจำนวน 10,000 บาท ให้แก่ผู้ขายไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นเงินมัดจำสำหรับซื้อขายและผู้ซื้อจะส่งเป็นเดือน เดือนละ 500 บาท จนกว่าจะครบ 37,500 บาท ถึงจะโอนสิทธิให้ต่อมาโจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อมิได้ชำระเงินให้แก่จำเลยผู้ขายทุกเดือนแต่รวมหลาย ๆ เดือนส่งครั้งหนึ่ง ไม่ได้ถือกำหนดเวลาตามที่ระบุไว้ในสัญญาเป็นสำคัญ แต่การที่โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลยแล้วปลูกบ้านเช่นเดียวกับผู้ซื้อรายอื่นแล้วได้รื้อออกไป และหลังจากนั้นไม่เคยส่งเงินค่างวดให้แก่จำเลยอีกเลย เป็นเวลานานถึง 4 ปีเศษ โดยจำเลยไม่เคยทวงถามให้โจทก์ชำระหนี้ เช่นนี้แสดงว่า โจทก์จำเลยเลิกสัญญากันโดยปริยาย การที่จำเลยไม่ยอมรับเงินค่าที่ดินจากโจทก์จึงไม่เป็นการผิดสัญญาแต่อย่างไร
พิพากษายืน