คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2500

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ผู้เช่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ในที่เช่า ก็ไม่ใช่เหตุที่จะไม่ต้องเสียค่าเช่าตามสัญญาเช่า การที่ผู้ให้เช่าไม่ได้ครอบครองที่ดินใช้ทำประโยชน์ของตนเพราะได้ให้เช่าที่ดินไปนั้น ก็อยู่ในฐานะควรได้ผลประโยชน์ คือค่าเช่า.

ย่อยาว

เรื่อง ไม่ชำระค่าเช่า
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าที่ดินที่ค้างชำระตามสัญญาเช่า
จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า สัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง มีวัตถุประสงค์ผิดกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ และว่าความจริงจำเลยที่ ๑ โดยความยินยอมของจำเลยที่ ๒ ได้กู้เงินโจทก์เอาที่พิพาทเป็นประกัน ในการนี้โจทก์ให้จำเลยทำนิติกรรมเป็นสัญญา ขายฝากที่ดินรายนี้ไว้แก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นว่า ที่ดินที่เช่าเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีอาคาร ไม่มีต้นไม้เป็นประโยชน์ จำเลยไม่เคย เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่เช่าเลย เป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีการปฏิบัติตามข้อความในสัญญาเช่า และกำหนดค่าเช่าเพื่อ เพิ่มเติมจำนวนสินไถ่ให้มากขึ้นกว่าที่กำหนดในสัญญาขายฝาก ทำสัญญาเช่าไว้พอเป็นพิธี ไม่มีการเช่าตามสัญญาที่ทำ กันไว้ สัญญาเช่าเป็นโมฆะ โจทก์ขอให้บังคับไม่ได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือสัญญาขายฝากที่ดินของจำเลยไว้กับโจทก์ และได้ทำสัญญาเช่าที่ดินรายนี้จากโจทก์ ไว้ด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่นิติกรรมอำพราง เงินที่จำเลยได้รับไปจากโจทก์ต้องถือว่าเป็นราคาที่ดินที่ขายฝาก ไม่ใช่ เงินกู้ยืมและไม่มีดอกเบี้ยเงินกู้ที่จะต้องจ่ายให้แก่กัน ส่วนค่าเช่านั้นจะกำหนดตกลงกันเท่าใดก็ได้ตามใจสมัคร ไม่มี กฎหมายจำกัดอัตราค่าเช่าที่จะบังคับกันได้ แม้ผู้เช่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ในที่เช่าก็ไม่ใช่เหตุที่จะไม่ต้องเสียค่าเช่าตาม สัญญาเช่า การที่ผู้ให้เช่าไม่ได้ครอบครองที่ดินใช้ทำประโยชน์ของตน เพราะได้ให้เช่าที่ดินไปนั้น ก็อยู่ในฐานะควรได้ ผลประโยชน์คือค่าเช่า แต่การเช่ารายนี้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เช่าคนเดียว จำเลยที่ ๒ มิได้เป็นผู้เช่าร่วมด้วย จำเลยที่ ๑ จึง ต้องรับผิดชำระค่าเช่าแต่ผู้เดียว พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าเช่าที่ค้าง ๑๗,๕๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย ส่วน จำเลยที่ ๒ ให้ยกฟ้อง.

Share