คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6055/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เข้าครอบครองที่ดินโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของที่อนุญาตให้เข้าไปไม่เป็นการครอบครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดินหากแต่เป็นการครอบครองแทนเจ้าของเท่านั้น แม้จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาเจ้าของขายที่ดินให้แก่ผู้อื่น การครอบครองต่อมาก็เป็นการครอบครองแทนเจ้าของคนใหม่จะครอบครองนานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์เช่นกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขออาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินของโจทก์ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยขนย้ายออกไป จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านและที่ดินของโจทก์ตามฟ้องกับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินเป็นของนายพักตร์ต่อมาปี 2502 นายพักตร์ให้จำเลยเข้าครอบครอง จำเลยได้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินเพื่อพักอาศัยและครอบครองทำประโยชน์ตลอดจนจนถึงปัจจุบันโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 30 ปีเศษ หลังจากโจทก์ซื้อที่ดินแล้วโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองหรือคัดค้าน จำเลยได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาให้ที่ดินในส่วนที่จำเลยครอบครองเนื้อที่ 2 ไร่ 36 ตารางวา เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 29/2 และที่ดินโฉนดเลขที่ 21786 ให้จำเลยชดเชยค่าเสียหายแก่โจทก์ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านและที่ดินดังกล่าว ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 21786 เป็นของนายพักตร์ ต่อมานายพักตร์ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ปัจจุบันจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวบางส่วนซึ่งเป็นที่ดินพิพาทเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 28ตารางวา และจำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านพิพาทซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทปัญหาว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ เห็นว่าตามคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยซึ่งให้การและฟ้องแย้งว่านายพักตร์ได้ให้จำเลยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ดีตามคำเบิกความของจำเลยซึ่งเบิกความว่า นายพักตร์ได้ให้จำเลยและครอบครัวเข้าไปอยู่ที่กระต๊อบในที่ดินพิพาทจากนั้นจำเลยได้ขุดคูทำสวนและทำนาก็ดี เป็นการยอมรับว่า จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายพักตร์ทั้งศาลอุทธรณ์ก็ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยและครอบครัวเข้าทำสวนในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายพักตร์ที่อนุญาตให้เข้าไป ซึ่งจำเลยมิได้ฎีกาโต้แย้งในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงฟังยุติตามนั้น ดังนี้ แม้จำเลยจะทำสวนทำนาและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตลอดจนกระทำการอย่างใด ๆ ลงในที่ดินพิพาทอันเป็นการมั่นคงถาวรตามฎีกาของจำเลยก็ตาม กรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการครองครองโดยมีเจตนาจะเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท หากแต่เป็นการครอบครองแทนนายพักตร์เท่านั้น จำเลยจะครอบครองเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ต่อมาเมื่อนายพักตร์ขายที่ดินให้แก่โจทก์จำเลยคงครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทต่อมาก็ถือว่าเป็นการครอบครองแทนโจทก์จะครอบครองเป็นเวลานานเท่าใดก็ไม่ได้ซึ่งกรรมสิทธิ์เช่นกัน
พิพากษายืน

Share