แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ขณะที่จำเลยกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิง ยังไม่มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ การกระทำอันมีองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีฯลฯ นั้น ยังไม่มีกฎหมายกำหนดโทษให้หนักขึ้นในขณะจำเลยกระทำผิดโจทก์ย่อมขอให้ศาลใช้มาตรา 340 ตรี เป็นบทลงโทษหรือนำไปประกอบมาตรา 340 วรรค 4 เพื่อให้โทษหนักขึ้นมิได้ คงได้แต่ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำผิด แต่เมื่อปรากฏว่าในระหว่างพิจารณาได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ ข้อ 14 ประกาศนี้แก้ไขโทษของมาตรา 340 วรรค 4 เดิมให้เบาลงก็ต้องใช้มาตรา 340 วรรค 4 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14 บังคับแก่คดีนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 โจทก์จะอ้างว่าโทษตามมาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่โดยประกาศข้อ 14 ให้เพิ่มขึ้นกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี. ที่บัญญัติเพิ่มเติมขึ้นโดยข้อ 15 คำนวณโทษแล้วมีอัตราหนักกว่ามาตรา 340 วรรค 4 เดิม มาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี ที่แก้ไขใหม่นั้นไม่เป็นคุณแก่จำเลย จะต้องวางโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 เดิม ดังนี้ หาถูกต้องไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 2 คน ได้ร่วมกันมีอาวุธปืนติดตัวไปกระทำการปล้นเอาทรัพย์ของนายเจริญ สารักษ์ ไปโดยจำเลยกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญเจ้าทรัพย์ได้ร่วมกันชกต่อยเจ้าทรัพย์กับใช้ปืนยิงพลฯ สุพล ไทยเล็ก 1 นัด โดยเจตนาฆ่า แต่กระสุนไม่ถูกอวัยวะสำคัญ พลฯ สุพลจึงไม่ถึงแก่ความตาย ทั้งนี้ เพื่อสะดวกแก่การปล้นทรัพย์และพาเอาทรัพย์ไปขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 80, 83 และ 340, 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันปล้นทรัพย์ตามฟ้อง แต่ขณะเกิดเหตุพลตำรวจสุพล ไทยเล็ก กับพวกมิได้แต่งเครื่องแบบและไม่ได้แสดงตนว่าเป็นตำรวจ จำเลยย่อมไม่อาจทราบได้ว่าเป็นเจ้าพนักงาน พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4, 83 และมีความผิดตามมาตรา 288, 80, 83 แต่อัตราโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14 มาตรา 340 วรรค 4 เบากว่ากฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษ เป็นคุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จึงให้ลงโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าว มาตรา 340 วรรค 4 ให้จำคุกจำเลยทั้งสามไว้คนละ 20 ปี ให้จำเลยคืนและใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์ด้วย
โจทก์ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า จำเลยที่ 1 ผู้เดียวใช้ปืนยิงพลตำรวจสุพลเพื่อสะดวกในการปล้นทรัพย์ โดยจำเลยที่ 2, 3 ไม่ได้ร่วมกระทำผิดฐานนี้ด้วย พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรค 4 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้วางโทษจำเลยตามประกาศของคณะปฏิวัติซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6), 80 ด้วย ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6), 80 ซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยที่ 2, ที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ซึ่งแก้ไขใหม่โดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 แต่ให้วางโทษตามประกาศของคณะปฏิวัติซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยคงให้จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิต และจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 ไว้คนละ 20 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2514 อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไว้สองสถานคือ จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกยี่สิบปี ต่อมาวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ก่อนยื่นฟ้องจำเลย คณะปฏิวัติได้มีประกาศฉบับที่ 11 ข้อ 14, 15 แก้ไขโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ให้หนักยิ่งกว่าเดิม กล่าวคือ โทษตามมาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่โดย ข้อ 14 ให้เพิ่มขึ้นกึ่งหนึ่งตามมาตรา 340 ตรี ที่บัญญัติเพิ่มเติมขึ้นโดยข้อ 15 ซึ่งเมื่อคำนวณอัตราโทษเพิ่มขึ้นแล้วจะมีอัตราขั้นต่ำถึงจำคุกยี่สิบสองปีหกเดือน หนักกว่าตามมาตรา 340 วรรค 4 เดิม โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 ที่ใช้อยู่ในขณะกระทำผิด มิได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรค 4 ประกอบด้วย มาตรา 340 ตรี ที่แก้ไขใหม่ดังกล่าวแล้ว เพราะกฎหมายใหม่ไม่เป็นคุณแก่จำเลย แม้ความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงนี้ มาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่ได้กำหนดโทษไว้แล้ว และมาตรา 340 ตรี ได้กำหนดโทษซ้ำขึ้นมาอีก ให้มีโทษหนักขึ้นก็ต้องใช้อัตราโทษบทหนักปรับแก่คดีตามเจตนารมณ์ของคณะปฏิวัติ จึงต้องวางโทษจำเลยในความผิดฐานปล้นทรัพย์และใช้ปืนยิงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรค 4 เดิม
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า หลักในการใช้กฎหมายอาญาปรับแก่คดีมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2 ว่า บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ มีข้อยกเว้นตามมาตรา 3 แห่งประมวลกฎหมายฉบับเดียวกันนั้นว่า ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กำหนดในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด คดีนี้ ปรากฏว่าในขณะจำเลยกระทำผิดยังไม่มีประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ออกใช้บังคับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การกระทำอันมีองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 340 ตรี ฯลฯ นั้น ยังไม่มีกฎหมายกำหนดโทษให้หนักขึ้นในขณะจำเลยกระทำผิดแต่อย่างใดเลยโจทก์จึงขอให้ศาลใช้มาตรา 340 ตรีเป็นบทลงโทษดังโจทก์ฎีกาไม่ได้ และย่อมรวมถึงจะนำไปประกอบมาตรา 340 วรรค 4 เพื่อให้โทษหนักขึ้นมิได้ด้วย คงขอให้ลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 เดิม ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำผิดก่อนมีการแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ และเมื่อปรากฎว่ามาตรา 340 วรรค 4 ที่แก้ไขใหม่โดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14 มีโทษเบากว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 เดิมแล้ว ก็ต้องใช้มาตรา 340 วรรค 4 ตามที่แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 14 บังคับแก่คดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 เพราะเป็นกฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว
พิพากษายืน