แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
การที่จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด จาก ส. ที่ห้างสรรพสินค้า โดยจำเลยที่ 2 ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 1 จำนวน 400 เม็ด เพื่อส่งมอบให้แก่ พ. และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 3,600 เม็ด นับเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 100/2 สมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้น้อยลง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละตลอดชีวิต และปรับคนละ 1,200,000 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 800,000 บาท จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 25 ปี และปรับ 600,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจวิเคราะห์และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง พันตำรวจตรีสมศักดิ์ ศรีรุ่งนภาพร กับพวกจับกุมจำเลยที่ 1 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 400 เม็ด จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และพาพันตำรวจตรีสมศักดิ์กับพวกไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนอีก 3,600 เม็ด ภายในบ้านจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 เป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจตรีสมศักดิ์และจ่าสิบตำรวจสุจิน กระเช้าเพ็ชร ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความเป็นพยานทำนองเดียวกันว่า เช้ามืดของวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ไปรับเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด จากนายสมบัติหรือบัติที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางใหญ่ โดยจำเลยที่ 2 ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนให้จำเลยที่ 1 จำนวน 400 เม็ด เพื่อส่งมอบให้แก่นายสัมพันธ์ ส่วนเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจำเลยที่ 2 นำไปเก็บไว้ที่หมู่บ้านพรพิมาย จังหวัดปทุมธานี พันตำรวจตรีสมศักดิ์สอบถามที่อยู่จากจำเลยที่ 1 แล้วแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอธัญบุรีเพื่อให้ขอหมายค้นเพื่อทำการตรวจค้นบ้านดังกล่าว และให้จำเลยที่ 1 พาไป พบจำเลยที่ 2 อยู่ในบ้านดังกล่าว ชั้นจับกุมพันตำรวจตรีสมศักดิ์แจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ตามบันทึกการตรวจค้นจับกุมและโจทก์มีพันตำรวจโทสุรสิทธิ์ โสตะวงศ์ พนักงานสอบสวนเบิกความสนับสนุนว่า ชั้นสอบสวนพยานได้แจ้งข้อหาเช่นเดียวกับชั้นจับกุม จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา เห็นว่า พยานโจทก์จับกุมจำเลยที่ 1 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน 400 เม็ด และจำเลยที่ 1 พาไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนอีก 3,600 เม็ด ทั้งชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพ ซึ่งคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหามีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดเป็นขั้นเป็นตอน หากมิใช่เรื่องจริงก็ยากที่พนักงานสอบสวนจะปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อปรักปรำจำเลยที่ 1 ได้ เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ให้การด้วยความสมัครใจโดยมิได้มีผู้ใดบังคับขู่เข็ญ ทั้งไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงสงสัยว่าจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 2 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า รายงานการตรวจวิเคราะห์เอกสารทั้ง 2 ฉบับ ซึ่งจัดทำโดยผู้ทำการตรวจวิเคราะห์คนเดียวกัน มีความแตกต่างกันเกี่ยวกับเรื่องสีของเมทแอมเฟตามีนของกลางในรายการที่ 2 จึงมีความสงสัยว่าของกลางที่พนักงานสอบสวนส่งไปตรวจวิเคราะห์เพื่อทราบว่าเป็นเมทแอมเฟตามีนหรือไม่นั้นเป็นจำนวนเดียวกันกับวัตถุของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดมาได้จากจำเลยที่ 1 หรือไม่ หากเป็นคนละจำนวนก็ไม่อาจนำผลการวิเคราะห์มาใช้ยันจำเลยที่ 1 ว่า วัตถุที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดมาได้จากจำเลยที่ 1 เป็นเมทแอมเฟตามีนนั้น เห็นว่า ในขณะที่โจทก์นำนายอดิศักดิ์ หมันหลิน ผู้ทำการตรวจวิเคราะห์มาเบิกความเป็นพยาน จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้ถามค้านเกี่ยวกับเรื่องความแตกต่างของเอกสารรายงานการตรวจวิเคราะห์ดังกล่าว และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด อีกทั้งตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 15 ธันวาคม 2546 จำเลยที่ 1 แถลงยอมรับว่านายอดิศักดิ์เป็นผู้ตรวจพิสูจน์เมทแอมเฟตามีนของกลาง และทำรายงานการตรวจวิเคราะห์จริง ข้อแตกต่างของเอกสารดังกล่าว จำเลยที่ 1 เพิ่งจะมายกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นการยกข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ในชั้นอุทธรณ์ และมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายิวธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และเมื่อจำเลยที่ 1 ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นอ้างในชั้นฎีกาด้วย จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 เกิดเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2527 ในขณะถูกจับกุมจำเลยที่ 1 มีอายุเพียง 18 ปีเศษ มีเหตุสมควรที่จะได้รับการลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปีเศษ มีความรู้สึกผิดชอบแล้ว ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางมีมากถึง 4,000 เม็ด พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 นับว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมและประเทศชาติ จึงไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางอีกจำนวนหนึ่ง อันเป็นการให้ข้อมูลสำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ยอมรับว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ไปรับเมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด จากนายสมบัติหรือบัติที่ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี สาขาบางใหญ่ โดยจำเลยที่ 2 ได้แบ่งเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลยที่ 1 จำนวน 400 เม็ด เพื่อส่งมอบให้แก่นายสัมพันธ์และพาเจ้าพนักงานตำรวจไปจับกุมจำเลยที่ 2 ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางอีก 3,600 เม็ด นับเป็นการให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานตำรวจตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 สมควรกำหนดโทษจำเลยที่ 1 ให้น้อยลง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 18 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1