แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของ ย. ผู้ตายต่อมาจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกได้จดทะเบียนขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่ ว. โดยไม่ได้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปด้วยวิธีการอันไม่สุจริตหรือมีเจตนาที่จะเบียดบังเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกไว้โดยทุจริตอย่างไร ทั้งก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่เคยทวงถามจำเลยให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ทำการขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปนั้น จึงเป็นวิธีเกี่ยวกับการจัดการและแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719,1750 คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลดังฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา352, 353, 354
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ว่าคดีของโจทก์ทั้งสี่มีมูลดังฟ้องหรือไม่ โจทก์ทั้งสี่มีโจทก์ที่ 1 และที่ 3 เป็นพยานเบิกความว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2528 ตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายยศ นวลรัตน์ ผู้ตาย ปรากฏตามสำเนาคำสั่งเอกสารหมาย จ.7ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2533 จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายได้จดทะเบียนขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายโฉนดเลขที่ 3193ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.6 ให้นายวรศักดิ์ เลิศโกวิทย์โดยไม่ได้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นทายาทของผู้ตาย เห็นว่า การที่จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายทำการขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปนั้น เป็นวิธีเกี่ยวกับการจัดการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1719, 1750 และจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 และที่ 3ดังกล่าวแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ขายที่ดินทรัพย์มรดกของผู้ตายไปด้วยวิธีการอันไม่สุจริต หรือมีเจตนาที่จะเบียดบังเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกไว้โดยทุจริตอย่างไร ทั้งก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่เคยทวงถามจำเลยให้แบ่งเงินที่ได้จากการขายที่ดินทรัพย์มรดกให้โจทก์ทั้งสี่ จึงเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสี่ไม่มีน้ำหนักที่จะให้ฟังได้ว่าคดีของโจทก์มีมูลดังฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้ยกฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน