คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6033/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยพาอาวุธปืนสั้นติดตัวมาในบริเวณหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน แต่โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง และไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยพาติดตัวนั้นเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ จึงต้องฟังเป็นคุณแก่จำเลยว่าอาวุธปืนที่จำเลยพาติดตัวไปนั้น เป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีตามกฎหมาย แม้โจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่า จำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง ไม่ได้ก็ตาม แต่ศาลก็ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80, 371, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคแรก, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 7,72 วรรคสาม จำคุก 1 ปี ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิวรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก, 72 ทวิ วรรคสอง ให้จำคุก 1 ปีอีกกระทงหนึ่ง รวมจำคุก 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์มีน้ำหนักฟังได้ว่า จำเลยได้พาอาวุธปืนสั้นติดตัวมาด้วยตรงบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งเป็นหมู่บ้านคนอยู่อาศัย และเส้นทางที่จำเลยพาอาวุธปืนสั้นเดินมาก็เป็นทางสาธารณะ มีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปอีกว่า การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวไปนั้น จำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนหรือไม่ โจทก์มีร้อยตำรวจเอกสมบัติ มานะกุล ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับทะเบียนอาวุธปืนเป็นพยานเบิกความว่า ได้รับหนังสือสอบถามจากพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลทุ่งครุว่า จำเลยเคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนหรือไม่ พยานได้ตรวจสอบหลักฐานรายชื่อจากคอมพิวเตอร์ผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนแล้วไม่พบชื่อจำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนแต่อย่างใด จึงได้แจ้งผลการตรวจสอบให้ทราบตามเอกสารหมาย จ.1 และจำเลยเบิกความรับว่า จำเลยไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืน เห็นว่าโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลางและโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยพาติดตัวไปนั้นเป็นอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ จึงต้องฟังให้เป็นคุณแก่จำเลยว่า อาวุธปืนที่จำเลยพาติดตัวไปนั้น เป็นอาวุธปืนของผู้อื่นซึ่งได้รับอนุญาตให้มีตามกฎหมาย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยในความผิดฐานนี้หนักเกินไป เห็นสมควรวางโทษใหม่ให้เหมาะสม สำหรับข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคแรก,72 ทวิ วรรคสอง ไม่ได้ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 371 จึงลงโทษฐานนี้ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 7 และ 72 วรรคสาม ลงโทษจำคุก 6 เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share