คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6019/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อ. ทำสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินค่าจ้างที่จะได้รับจากจำเลยตามสัญญาจ้างให้โจทก์ โดย อ. มีหนังสือบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยและจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ความยินยอม การโอนหนี้ดังกล่าวจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306วรรคหนึ่ง และคู่กรณีย่อมเกิดสิทธิและหน้าที่ผูกพันกัน โจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้โดยไม่ต้องเรียก อ. ผู้โอนเข้าเป็นคู่ความร่วม และกรณีเช่นนี้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มีสิทธิยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างที่มีต่อ อ.ผู้โอนขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 308 ดังนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมมีสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างของ อ. ผู้โอนขึ้นต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้เช่นเดียวกัน โจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน อ. ตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจ้าง โจทก์จึงมีสิทธิยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างที่ อ. มีต่อจำเลยขึ้นต่อสู้จำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 คณะกรรมการตรวจการจ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยและได้ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการทำงานตามสัญญาจ้าง อ. หยุดงานก็เพราะคณะกรรมการตรวจการจ้างของจำเลยสั่ง และเหตุที่สั่งก็เพราะราษฎรเริ่มทำนา ฝนตกเกิดอุทกภัยให้ระงับการก่อสร้างไว้จนกว่าชาวนาจะเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ และต่อมาได้แจ้งให้ อ. เข้าดำเนินการก่อสร้างต่อไปแล้ว ดังนั้นการหยุดงานดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดของ อ. ทั้งจำเลยเองก็ได้เสนอความเห็นว่าควรต่ออายุสัญญาให้แก่ อ. และขออนุมัติต่อสัญญาไปยังปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฉะนั้นจำเลยจะอ้างว่า อ. เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ ปัญหาว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างมีคำสั่งไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการก็ดี เมื่อสั่งให้หยุดงานแล้วไม่รายงานให้จำเลยทราบก็ดี เป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการตรวจการจ้างกับจำเลย จะยกขึ้นยัน อ. เจ้าหนี้หรือโจทก์ผู้รับโอนหนี้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2527 จำเลยได้ทำสัญญาจ้างบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ก่อสร้างคลองส่งน้ำและอาคารประกอบพร้อมอาคารที่ทำการบ้านพักและโรงเรือนถาวร ในเขตโครงการแม่กลองใหญ่ อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ตามสัญญาที่กจ.16/2527 ค่าจ้างเป็นเงิน 52,748,025 บาท กำหนดทำงานแล้วเสร็จภายใน 420 วัน นับแต่วันถัดจากวันลงนามในสัญญาซึ่งครบกำหนดสัญญาในวันที่ 20 มิถุนายน 2528 หากไม่แล้วเสร็จตามกำหนดจำเลยมีสิทธิปรับวันละ 52,748.02 บาท จนถึงวันที่งานแล้วเสร็จ ในการรับเงินค่าจ้างบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ได้ทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในการรับเงินค่าจ้างทั้งหมดจากจำเลยให้แก่โจทก์ และจำเลยได้ยินยอมให้โจทก์เป็นผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องรับเงินทั้งหมดทุกงวดจากจำเลยได้ บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ทำงานตามสัญญาจ้างเหมาแล้วปรากฏว่าได้เกิดอุปสรรคหลายประการ ซึ่งมิใช่ความผิดของบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด และจำเลยได้ต่ออายุสัญญาให้รวม 3 ครั้งในระหว่างการพิจารณาต่ออายุสัญญาครั้งที่สาม คณะกรรมการตรวจการจ้างของจำเลยได้สั่งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ระงับการก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2529 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2530เป็นเวลา 241 วัน เนื่องจากเป็นฤดูกาลทำนาและน้ำท่วมขังบริเวณก่อสร้างและสั่งให้ลงมือทำงานต่อตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2530เป็นต้นไป ในระหว่างทำงานงวดสุดท้ายบริษัทอมรชัยนาท (1980)จำกัด ได้แจ้งจำเลยขอต่ออายุสัญญาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2530จำเลยได้พิจารณาอย่างเนิ่นช้าผิดปกติและมิได้แจ้งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ทราบผลการขอต่ออายุสัญญาแต่อย่างใดเป็นการเอาเปรียบและไม่สุจริตจำเลยมีหน้าที่ต้องชำระค่าจ้างงวดสุดท้าย หลังจากหักเงินประกันผลงานและเงินที่เบิกล่วงหน้าตามสัญญาแล้ว เป็นจำนวนสุทธิ 12,782,902.60 บาท และเงินประกันผลงานร้อยละ 10 ซึ่งจำเลยได้หักไว้ในการจ่ายค่าจ้างแต่ละงวดเป็นเงิน 5,186,586.30 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 17,969,488.90บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 17,969,488.90 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์มิใช่คู่สัญญากับจำเลย โจทก์เป็นเพียงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องเงินค่าจ้างเฉพาะเงินสุทธิหลังจากหักค่าภาษีหรือเงินอื่นใดที่บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดจะต้องชำระแก่จำเลยออกแล้วรวมทั้งเงินค่าปรับตามที่กำหนดในสัญญาโจทก์ไม่มีสิทธิยกข้อต่อสู้หรือโต้แย้งการใช้สิทธิปรับของจำเลยโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ตามสัญญาจ้างเหมาข้อ 17 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2521 ข้อ 49 กำหนดให้คณะกรรมการตรวจการจ้างมีอำนาจสั่งหยุดงานได้เฉพาะกรณีผู้รับจ้างขัดขืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการตรวจการจ้างที่สั่งให้ผู้รับจ้างกระทำการอย่างใด ๆ อันเกี่ยวกับงานจ้างเพื่อให้เป็นไปตามแบบรูปรายละเอียดและข้อกำหนดในสัญญาเท่านั้น ส่วนในเรื่องอื่นคณะกรรมการตรวจการจ้างไม่มีอำนาจสั่งผู้รับจ้างให้หยุดงานเว้นแต่จะได้รับอนุมัติจากจำเลยก่อน จึงจะมีผลสมบูรณ์ผูกพันจำเลย คำสั่งของคณะกรรมการตรวจการจ้างที่สั่งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980)จำกัด ระงับการก่อสร้างตามฟ้องโจทก์ จำเลยไม่เคยให้ความเห็นชอบหรืออนุมัติ คำสั่งดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลย ในการพิจารณาการขอต่ออายุสัญญานั้นจำเลยได้พิจารณาอย่างรอบคอบ ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบราชการ เหตุที่บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในกำหนดอายุสัญญาไม่ได้เกิดจากสาเหตุตามที่กล่าวอ้าง แต่เป็นเพราะบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ทำงานล่าช้าเอง จำเลยจึงไม่ต่ออายุสัญญาให้ เมื่อบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ส่งมอบงานล่าช้ากว่ากำหนดตามสัญญา รวมระยะเวลา 416 วัน จำเลยจึงมีสิทธิปรับตามสัญญาจ้างเหมาข้อ 17 เป็นเงินวันละ 52,748.02 บาท รวมเป็นเงินค่าปรับทั้งสิ้น 21,943,176.32 บาท เงินค่าจ้างงวดสุดท้ายเมื่อหักภาษีเงินได้แล้วมีจำนวนสุทธิเพียง 12,233,237.78 บาท เมื่อหักชดใช้ค่าปรับแล้วบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ยังค้างค่าปรับอีก 9,709,938.54 บาท ต่อมาศาลจังหวัดชัยนาท ได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด เด็ดขาด จำเลยได้หักกลบลบหนี้กับเงินประกันผลงานจำนวน 5,186,586.30 บาทต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดแล้ว เมื่อหักกลบลบหนี้กันแล้วจำเลยเป็นเจ้าหนี้ค่าปรับบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด อยู่อีกจำนวน 4,523,352.24 บาท ในการทำสัญญาจ้างโจทก์ได้ผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันบริษัทอมรชัยนาท(1980) จำกัด ต่อจำเลย เป็นจำนวน 2,637,402 บาท โจทก์จึงต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 2,637,402 บาท ให้แก่จำเลย จำเลยทวงถามแล้วแต่โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาบังคับโจทก์ชำระเงินจำนวน 2,637,402 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด จริง การที่คณะกรรมการตรวจการจ้างสั่งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ระงับการก่อสร้างและจำเลยได้พิจารณาจากอุปสรรคที่เกิดจากการทำนาของราษฎรและน้ำท่วมต่ออายุสัญญาให้ถึง 3 ครั้ง ถือว่าจำเลยมิได้ถือเอาข้อกำหนดในสัญญาเป็นสาระสำคัญ การที่จำเลยไม่ยอมพิจารณาต่ออายุสัญญาโดยเร็ว กลับปล่อยให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดทำงานต่อไปจนเสร็จ ทั้งยังให้เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจำเลยมาติดต่อกับโจทก์ขอให้ช่วยสนับสนุนการเงินแก่บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดต่อไป โดยรับรองว่าจะมีการต่ออายุสัญญาให้อย่างแน่นอน แต่ภายหลังจำเลยกลับไม่ยอมต่ออายุสัญญาให้และยังเรียกค่าปรับอีก จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมมีสิทธิรับเงินจากจำเลยในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องแทนบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ทุกประการ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 11,504,824.08บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 14 เมษายน 2531 ซึ่งเป็นวันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน11,294,824.08 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์เป็นเพียงผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย ไม่ใช่โอนสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาในฐานะผู้รับจ้าง จึงไม่มีสิทธิโต้แย้งว่าจำเลยใช้สิทธิปรับบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ไม่ชอบ โจทก์ต้องเรียกบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด เข้ามาเป็นคู่ความร่วมกับโจทก์จึงจะใช้สิทธิโต้แย้งได้ โจทก์มีฐานะเพียงเป็นเจ้าหนี้ของบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยโดยลำพังทั้งโจทก์มิได้ฟ้องจำเลยในฐานะผู้ค้ำประกัน โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเห็นว่า บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ได้ทำสัญญาโอนสิทธิในการรับเงินค่าจ้างให้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.4 โดยบริษัทอมรชัยนาท(1980) จำกัด ได้มีหนังสือบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยตามเอกสารหมายจ.5 และจำเลยได้มีหนังสือถึงโจทก์ให้ความยินยอมตามเอกสารหมาย จ.6การโอนหนี้ดังกล่าวจึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 306 วรรคหนึ่ง และคู่กรณีย่อมเกิดสิทธิและหน้าที่ผูกพันกันโจทก์ในฐานะผู้รับโอนสิทธิจึงมีสิทธิฟ้องจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้โดยไม่ต้องเรียกบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ผู้โอนเข้าเป็นคู่ความร่วม และกรณีเช่นนี้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้มีสิทธิยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างที่มีต่อบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดผู้โอนขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 308 ฉะนั้นโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับโอนย่อมมีสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างของบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ผู้โอนขึ้นต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้เช่นเดียวกัน นอกจากนั้นโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ตามเงื่อนไขแห่งสัญญาจ้างเอกสารหมาย ล.27 โจทก์จึงมีสิทธิยกข้อต่อสู้ทั้งหลายที่บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด มีต่อจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 694 ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิที่จะยกข้อต่อสู้ต่าง ๆ ตามสัญญาจ้างของบริษัทอมรชัยนาท (1980)จำกัด ขึ้นต่อสู้จำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น จำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างมีคำสั่งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด หยุดงานโดยลำพังไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการ เพราะไม่ใช่กรณีเร่งด่วนถึงขนาดและจำเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหลังจากที่สั่งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด หยุดงานแล้ว ก็มิได้รายงานให้จำเลยทราบจนล่วงเลยไปถึง 241 วัน ไม่มีผลผูกพันจำเลย เพราะเป็นการปฏิบัติการนอกเหนือหน้าที่ บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงมีสิทธิปรับตามสัญญา 241 วัน เมื่อรวมเวลาที่บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด ทำงานล่าช้ากว่ากำหนดเวลาตามสัญญาจึงเป็นเวลา 416 วัน ที่ศาลอุทธรณ์หักออก 6 วัน ไม่ถูกต้องเห็นว่า คณะกรรมการตรวจการจ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของจำเลยและได้ตั้งขึ้นเพื่อตรวจสอบการทำงานตามสัญญาจ้าง บริษัทอมรชัยนาท (1980)จำกัด หยุดงานก็เพราะคณะกรรมการตรวจการจ้างของจำเลยสั่ง และเหตุที่สั่งก็เพราะราษฎรเริ่มทำนา ฝนตกเกิดอุทกภัย ให้ระงับการก่อสร้างไว้ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2529 จนกว่าชาวนาจะเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ และต่อมาได้แจ้งให้บริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดเข้าดำเนินการก่อสร้างต่อไปตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2530ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.13 และ ล.54 ดังนั้นการหยุดงานดังกล่าวจึงไม่ใช่ความผิดของบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดทั้งจำเลยเองก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน ปรากฏตามบันทึกซึ่งจำเลยเสนอปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เอกสารหมาย ล.55 ฉะนั้น จำเลยจะอ้างว่าบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัด เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ได้ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าคณะกรรมการตรวจการจ้างมีคำสั่งไม่ชอบด้วยระเบียบของทางราชการก็ดี เมื่อสั่งให้หยุดงานแล้วไม่รายงานให้จำเลยทราบก็ดี เห็นว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างคณะกรรมการตรวจการจ้างกับจำเลยจะยกขึ้นยันบริษัทอมรชัยนาท (1980) จำกัดเจ้าหนี้หรือโจทก์ผู้รับโอนหนี้ไม่ได้
พิพากษายืน

Share