แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้จำเลยส่งคืนแก่โจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทด้านทิศเหนือเป็นของ ท. ตอนกลางถัดมาเป็นของโจทก์ และตอนด้านล่างทิศใต้เป็นของ ว.ท.และโจทก์ได้ขายที่ดินให้จำเลยและจำเลยได้รับยกให้ที่ดินจากบิดามารดาของ ว. จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ดังนี้ตามคำให้การของจำเลยไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่พิพาทเนื่องจากจำเลยครอบครองที่พิพาทของจำเลยเอง ศาลจึงไม่อาจยกประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง ขึ้นวินิจฉัยเองได้ เพราะไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง ได้มาจากบิดาเมื่อระหว่างปี 2519 โจทก์ได้มอบที่ดินให้จำเลยซึ่งเป็นพี่เขยเข้าทำนาแทน โดยตกลงว่าให้จำเลยเสียคาภาษีบำรุงท้องที่และแจ้งสำรวจที่ดินแทนโจทก์ หากโจทก์ต้องการได้คืนจำเลยจะคืนให้ทันทีต่อมาระหว่างเดือนเมษายน 2531 โจทก์ขอที่ดินคืนจากจำเลยจำเลยไม่ยอมอ้างว่าเป็นที่ของตน ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งที่พิพาทคืนแก่โจทก์ ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยได้แบ่งที่ดินทางทิศเหนือให้บุตรสาว จำเลยและบุตรสาวได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็น 3 แปลง คือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 823 มีชื่อนางสาวประดิษฐ์ ศรีปัตเนตรเป็นผู้ครอบครอง หนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 824มีชื่อนางสาวสาว ศรีปัตเนตร เป็นผู้ครอบครองและหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 807 มีชื่อจำเลยเป็นผู้ครอบครอง เดิมที่ดินทางทิศเหนือเป็นของนายเทียม ศิริจันดา ตอนกลางถัดลงมาเป็นของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ และตอนล่างด้านทิศใต้เป็นของนางไว ศรีปัตเนตรหรือชื่นสุขและจำเลยซึ่งได้รับยกให้จากบิดามารดาของนางไว ต่อมานายเทียมได้ขายที่ดินส่วนของตนให้จำเลยและเมื่อประมาณ 24 ปีก่อนหน้านี้ โจทก์ได้ขายที่ดินตอนกลางของโจทก์ให้จำเลย หลังจากนั้นโจทก์ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวอีกเลยจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท และนำสำรวจเพื่อเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านจนได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว โจทก์ไม่เคยมอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทำกินแทน โจทก์ไม่เคยขอให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ แต่โจทก์ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลยจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์โดยสงบเปิดเผยและเจตนาเป็นเจ้าของโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาข้อแรกว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยกมาตรา 1375 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาวินิจฉัยยกฟ้องโดยศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นแห่งคดีในวันชี้สองสถานไว้ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้จำเลยส่ง คืนแก่โจทก์และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การต่อสู้ว่าเดิมที่พิพาทด้านทิศเหนือเป็นของนายเทียม ตอนกลางถัดมาเป็นของโจทก์ และตอนด้านล่างทิศใต้เป็นของนางไว นายเทียมและโจทก์ได้ขายที่ดินให้จำเลยและจำเลยได้รับยกให้ที่ดินจากบิดามารดาของนางไว จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ดังนี้ตามคำให้การของจำเลยจึงไม่มีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครองที่พิพาท เนื่องจากจำเลยครอบครองที่พิพาทของจำเลยเองศาลจึงไม่อาจยกมาตรา 1375 วรรคสองขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะศาลไม่ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี นับแต่วันถูกจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาท โจทก์หมดสิทธิฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1ให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ตามรูปคดี