แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยร่วมกับพวกชักชวนชาวบ้านให้ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียรับสมัครคนงานโดยเรียกค่าบริการและรับเงินจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายคนละ 1,000 บาท ถึง 3,000 บาท โดยจำเลยกับพวกให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายกับพวกเดิน ทางไปทำงานแล้วไปปล่อยทิ้งไว้ที่จังหวัดยะลาโดยไม่มีงานในประเทศมาเลเซียที่จะให้ไปทำจริงดัง ที่ประกาศชักชวน การกระทำของจำเลยกับพวกเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 343วรรคหนึ่ง สภาพของความผิดที่จำเลยได้กระทำไปเป็นที่เห็นได้ว่าผู้กระทำผิดจะต้องเห็นได้ล่วงหน้าว่าเป็นการก่อให้เกิดความเดือด ร้อนเป็นทวีคูณแก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหาย ซึ่งไม่มีงานทำอันเป็นความเดือด ร้อนอยู่แล้ว การแสวงหาผลประโยชน์โดยสุจริตที่อาศัยโอกาสจากการต้องการงานทำของผู้ว่างงานมาเป็นช่องทางให้กระทำสำเร็จได้เช่นนี้จึงไม่มีเหตุอันควรปราณีให้รอการลงโทษ คำฟ้องของโจทก์แม้จะได้บรรยายไว้ในตอนแรกว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายก็ตาม แต่ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในตอนต่อมากลับกล่าวว่า “จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ได้มีเจตนาและไม่มีความสามารถที่จะติดต่อผู้ใดไปทำงาน…” เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาจัดหางานอันถือว่าจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนากระทำความผิดสำหรับฐานจัดหางานโดยมิได้รับอนุญาต กรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิด ตาม พ.ร.บ.จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 17 มกราคม 2528 เวลากลางวันถึงวันที่ 21 มกราคม 2528 เวลากลางวันติดต่อกัน จำเลยทั้งสามกับพวกอีก 1 คน ร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายและจำเลยทั้งสามกับพวกโดยเจตนาทุจริต ร่วมกันหลอกลวงประชาชนด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง โดยจำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันโฆษณาบอกกล่าวแก่ประชาชนทั่วไปว่า จำเลยทั้งสามกับพวกสามารถจัดส่งประชาชนผู้มาสมัครงานกับจำเลยไปทำงานในประเทศมาเลเซียได้ ผู้มาสมัครไปทำงานจะต้องเสียเงินค่าจัดหางานให้แก่จำเลยกับพวกคนละ 6,000 บาท ชำระงวดแรกก่อนในวันสมัครทำงานคนละไม่ต่ำกว่า1,000 บาท ส่วนที่เหลือให้ชำระเมื่อได้ทำงานในประเทศมาเลเซียแล้ว อันเป็นความเท็จ ซึ่งความจริงแล้วจำเลยทั้งสามกับพวกไม่มีเจตนาและไม่มีความสามารถจะติดต่อหาผู้ใดไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียแต่อย่างใดและไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนให้เป็นผู้จัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการ อีกทั้งรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถจัดส่งประชาชนไปทำงานในประเทศมาเลเซียได้ โดยการหลอกลวงของจำเลยทั้งสามกับพวกเป็นเหตุให้ประชาชนรวมทั้งผู้เสียหายทั้งสิบสองคนหลงเชื่อ จึงพากันไปสมัครทำงานในประเทศมาเลเซียกับจำเลยทั้งสามกับพวก และผู้เสียหายทั้งสิบสองคนได้จ่ายเงินให้แก่จำเลยทั้งสามกับพวกไปคนละ1,000-3,000 บาท รวมเป็นเงิน 19,000 บาท จำเลยทั้งสามกับพวกได้รับเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 341, 343 กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินให้แก่ผู้เสียหาย 19,000 บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายมนตรี นายสัมฤทธิ์ นายพรม นายผดุง และนายหล้า ผู้เสียหายทั้งห้ายื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 มาตรา 7, 27จำคุกคนละ 1 เดือน และมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 1 ปี 1 เดือน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 19,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาขอให้ยกฟ้องโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัยหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมเชื่อได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับพวกชักชวนชาวบ้านให้ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย รับสมัครคนงานโดยเรียกค่าบริการและรับเงินจากโจทก์ร่วมและผู้เสียหายคนละ 1,000บาท บ้าง 2,000 บาทบ้าง 3,000 บาทบ้าง โดยที่จำเลยที่ 1 ที่ 2กับพวกให้โจทก์ร่วมและผู้เสียหายกับพวกเดินทางไปทำงานแล้วไปปล่อยทิ้งไว้ที่จังหวัดยะลา โดยที่ไม่มีงานในประเทศมาเลเซียที่จะให้ไปทำจริงดังที่ประกาศชักชวน พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่ 2ไม่มีน้ำหนักพอที่จะหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับพวกดังกล่าวเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 1 ที่ 2ขอให้รอการลงโทษไว้นั้นพิจารณาแล้วเห็นว่า สภาพของความผิดที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้กระทำไปนั้นเป็นที่เห็นได้ว่าผู้กระทำผิดจะต้องเห็นได้ล่วงหน้าว่าเป็นการก่อให้เกิดความเดือดร้อนเป็นทวีคูณแก่โจทก์ร่วมและผู้เสียหายซึ่งไม่มีงานทำ อันเป็นความเดือดร้อนอยู่แล้วการแสวงหาประโยชน์โดยทุจริตที่อาศัยโอกาสจากการต้องการงานทำของผู้ว่างงานมาเป็นช่องทางให้กระทำสำเร็จได้เช่นนี้ เห็นว่าไม่มีเหตุอันควรปราณี โทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดมาเพียง 1 ปีนั้นนับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยที่ 1 ที่ 2 มากแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาว่า จำเลยทั้งสามจะมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2511 ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์แม้จะได้บรรยายไว้ในตอนแรกว่า จำเลยทั้งสามกับพวกร่วมกันจัดหางาน โดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายก็ตาม แต่ในคำบรรยายฟ้องของโจทก์ในตอนต่อมากลับกล่าวว่า “จำเลยทั้งสามกับพวกไม่ได้มีเจตนาและไม่มีความสามารถที่จะติดต่อหาผู้ใดไปทำงาน…”เป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามไม่มีเจตนาจัดหางานอันถือว่าจำเลยทั้งสามไม่มีเจตนากระทำความผิดสำหรับกระทงนี้กรณียังไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสามในความผิดฐานนี้ได้”
พิพากษายืน.