คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 341/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกล่าวในฎีกาเพียงว่า ‘จำเลยขอให้การกลับคำให้การในชั้นสอบสวน และในชั้นศาลทุกประการและทุกถ้อยกระทงความโดยจำเลยขอให้การว่ามิได้กระทำความผิดตามคำกล่าวหาของพนักงานสอบสวนและคำฟ้องของโจทก์’ โดยมิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาแต่ประการใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร ฎีกาเช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรค 2 ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน กับมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ลูกระเบิดที่ใช้เฉพาะแต่ในราชการสงคราม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและจำเลยกับพวกถูกกล่าวหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ เมื่อตำรวจแสดงตัวเข้าจับกุมจำเลย จำเลยต่อสู้ขัดขวางโดยร่วมกันใช้อาวุธปืนและวัตถุระเบิดยิงต่อสู้ เป็นเหตุให้ว่าที่พันตำรวจเอกประสพกับพลตำรวจสมัครถึงแก่ความตาย ส่วนตำรวจอื่นหลบทันจึงไม่ตายแต่สิบตำรวจโทอุทัยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 296, 289, 289, 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ และริบของกลาง

จำเลยที่ 1 ให้การว่ามีปืนพกสั้นกับกระสุน และอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แต่ไม่ได้ยิงตำรวจ

จำเลยที่ 2 ให้การว่ามีปืนอาการ์กับกระสุนและลูกระเบิด ตอนแรกไม่ได้ยิงตำรวจ แต่เมื่อตำรวจยิงเข้าไป นางสาวรัตน์ซึ่งเป็นหัวหน้าสายสั่งให้ยิง จึงยิง

จำเลยที่ 3 ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด และไม่มีอาวุธใด ๆ แต่รับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุจริง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 138, 140, 289, 289 ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 ให้ลงโทษตามมาตรา 289 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดให้ประหารชีวิตจำเลยทั้งสาม ของกลางทั้งหมดให้ริบ

จำเลยทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสามฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 เพราะยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลายื่นฎีกา คงสั่งรับเฉพาะฎีกาของจำเลยที่ 3

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 กล่าวให้ฎีกาเพียงว่า “จำเลยขอให้การกลับคำให้การในชั้นสอบสวนและในชั้นศาลทุกประการและทุกถ้อยกระทงความ โดยจำเลยขอให้การว่ามิได้กระทำความผิดตามคำกล่าวหาของพนักงานสอบสวนและคำฟ้องของโจทก์” โดยจำเลยที่ 3 มิได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยประสงค์จะยกขึ้น อ้างอิงในชั้นฎีกาแต่ประการใด ทั้งมิได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร ฎีกาของจำเลยที่ 3 เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216 ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้

พิพากษาให้ยกฎีกาจำเลยที่ 3

Share