คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีเมื่อมีการผิดสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเพียงริบค่าเช่าซื้อที่รับไว้กับเรียกร้องทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนเท่านั้น จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระอีกด้วยมิได้ จะเรียกได้อีกก็แต่เพียงเป็นค่าเสียหายที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้ทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ตลอดเวลาที่ผู้เช่าซื้อครอบครองทรัพย์ที่เช่าซื้ออยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรค 3 กับค่าเสียหายเพราะเหตุอื่นอันผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชอบนอกเหนือไปจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์นั้นโดยชอบ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 562 เท่านั้น
คำฟ้องโจทก์เรียกร้องมาเป็นค่าเช่าซื้อค้างชำระแต่เมื่อคำฟ้องบรรยายมาว่าโจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระโดยเป็นฝ่ายผิดนัดโจทก์ได้รับความเสียหายพอถือได้ว่าโจทก์เรียกร้องเป็นค่าเสียหายฐานที่จำเลยใช้ทรัพย์ของโจทก์มาตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองทรัพย์ของโจทก์อยู่ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้ และค่าเสียหายเช่นนี้ศาลอาจกำหนดให้ตามที่เห็นสมควรได้
การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเพราะการที่ผู้เช่าซื้อใช้ทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ตลอดเวลาที่ยังคงครอบครองทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้ออยู่มีอายุความเรียกร้อง 10 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ไปจากโจทก์ ๑ คันชำระราคาในวันทำสัญญาแล้ว ๑๐,๐๐๐ บาท ที่เหลือจะชำระให้เป็นงวด ๆ ละเดือนจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยปฏิบัติตามสัญญาเพียง ๒ งวดแล้วไม่ชำระให้อีกเลย คงค้างอีก ๙๓,๐๐๐ บาท โจทก์ทวงเตือนจำเลยทั้งสองให้ชำระแล้วหลายครั้ง ก็ไม่ชำระให้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินที่ค้างและดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องกับดอกเบี้ยต่อไปจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า ทำสัญญาเช่าซื้อชำระเงินให้โจทก์ไปตามจำนวนและระยะเวลา และทำสัญญาค้ำประกันตามฟ้องจริง ในระหว่างเช่าซื้อ จำเลยที่ ๑ ยินยอมส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อให้กับตัวแทนของโจทก์รับมอบคืนไปแล้ว และจำเลยที่ ๑ แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อนับแต่วันส่งมอบรถยนต์แล้ว สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ เป็นอันเลิกแล้วต่อกัน แต่นั้นมา จำเลยที่ ๒ ย่อมพ้นภาระที่จะต้องรับผิดใด ๆต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยเพราะไม่มีมูลหนี้ต่อกันแล้ว มูลหนี้ตามสัญญาเกิดจากการให้เช่าสังหาริมทรัพย์เพื่อเอาค่าเช่า อายุความฟ้องร้องมีเพียง ๒ ปี คดีของโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
วันชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็น ๓ ข้อ คือ ๑. สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ยังมีอยู่หรือเลิกไปแล้ว ๒. จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ยังต้องรับผิดชำระค่าเช่าซื้อพร้อมทั้งดอกเบี้ยดังโจทก์ฟ้องหรือไม่ ๓.คดีขาดอายุความหรือยังและโจทก์แถลงรับว่า โจทก์ได้รับรถยนต์รายพิพาทไว้จากจำเลยที่ ๑เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๐๗ อันถือว่าได้เลิกสัญญาเช่าซื้อกันแต่วันนั้น โจทก์คงขอเรียกร้องเฉพาะค่าเช่าซื้อที่ค้างก่อนส่งมอบรถดังกล่าวเป็นเวลา ๗ เดือนเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยบรรดาค่าเช่าซื้อ ค่าเสียหาย รวมทั้งดอกเบี้ยภายหลังวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๐๗ ขอสละทั้งหมดแล้วโจทก์จำเลยไม่สืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ค้างชำระค่าเช่าซื้อ ๗ เดือน พร้อมทั้งดอกเบี้ยแต่สิทธิเรียกร้องของโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕(๖) ซึ่งมีอายุความเพียง ๒ ปีพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าต้องใช้อายุความตามมาตรา ๑๖๔ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีโจทก์เข้ามาตรา ๑๖๖ ตอนท้าย จึงยังไม่ขาดอายุความพิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินและดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กรณีเมื่อมีการผิดสัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อมีสิทธิเพียงริบค่าเช่าซื้อที่รับไว้กับเรียกร้องทรัพย์ที่เช่าซื้อคืนจะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างอีกมิได้จะเรียกอีกได้ก็แต่เพียงค่าที่ผู้เช่าซื้อได้ใช้ทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้อมาตลอดระยะเวลาที่ผู้เช่าซื้อครอบครองทรัพย์ของผู้ให้เช่าซื้ออยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๙๑ วรรค ๓ และหากทรัพย์ที่คืนมาเสียหายเพราะเหตุอื่นอันผู้เช่าซื้อต้องรับผิดนอกเหนือไปจากค่าเสียหายอันเกิดแต่การใช้ทรัพย์โดยชอบ ผู้ให้เช่าซื้อยังเรียกได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๑๙๕/๒๕๑๑คดีระหว่าง บริษัท ร.ส.พ.ยานยนต์ จำกัด โดยพลโทจิตต์ สุนทานนท์กรรมการผู้จัดการ กับพวก โจทก์ นายสุผลิต อ่ำพันธ์ กับพวก จำเลย ปัญหาเรื่องอายุความเรียกร้องค่าเช่าซื้อตามที่จำเลยฎีกามา จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะโจทก์ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องเสียแล้ว
แม้ตามคำฟ้องโจทก์จะเรียกร้องมาเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างไม่ได้เรียกร้องเป็นค่าเสียหายฐานผิดสัญญา แต่ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์กล่าวว่า โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองให้ชำระแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระ โดยเป็นฝ่ายผิดนัดโจทก์ได้รับความเสียหาย จึงพอถือได้ว่าโจทก์ได้เรียกค่าเสียหายฐานใช้รถอันเป็นทรัพย์ของโจทก์มาตลอดเวลาที่จำเลยยังครอบครองรถของโจทก์อยู่ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายได้ โดยเฉพาะคดีนี้ศาลเห็นควรกำหนดค่าเสียหายให้อัตราเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท
การฟ้องเรียกค่าเสียหายเช่นนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องได้ภายในอายุความ ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔
พิพากษาแก้

Share