แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สิทธิตามสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น เป็นเพียงบุคคลสิทธิ ไม่ใช่ทรัพย์สิทธิซึ่งจะติดตามตัวทรัพย์เอากลับคืนจากบุคคลภายนอกได้และไม่เป็นสิทธิที่จะจดทะเบียนได้ จึงไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องให้เพิกถอนการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้แล้วตามมาตรา1300
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยตกลงจะขายที่นาแปลงหนึ่งให้โจทก์โจทก์ได้วางมัดจำไว้บ้างแล้ว ตกลงกันว่าเมื่อจำเลยได้รับโฉนดแล้วจะไปทำสัญญาซื้อขายกันต่อเจ้าพนักงาน จำเลยได้รับโฉนดแล้วกลับโอนขายให้จำเลยที่ 2 เป็นการสมยอมและไม่สุจริต ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ 1 โอนโฉนดให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่มาวางเงินโอนโฉนดและว่าตามสัญญามีว่าฝ่ายใดผิดสัญญา ก็ให้ริบมัดจำปรับค่าเสียหายเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ 2 ว่าซื้อนาพิพาทโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 จะขายนาพิพาทให้โจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต และเห็นว่าคู่กรณีมิได้ประสงค์จะให้เรียกแต่ค่าเสียหายอย่างเดียว พิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายนาระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย บังคับให้ขายให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ 2 ซื้อนาพิพาท โดยเสียค่าตอบแทนโจทก์ไม่ใช่ผู้อยู่ในฐานะจะจดทะเบียนได้ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิตามสัญญาจะซื้อขายเป็นเพียงบุคคลสิทธิโจทก์หามีทรัพย์สิทธิจะติดตามตัวทรัพย์ไปเอากลับคืนมาจากบุคคลภายนอกได้ไม่ สิทธิที่โจทก์ได้มาตามสัญญาจะซื้อขายนั้นหาใช่สิทธิที่จะจดทะเบียนได้ จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายนี้ตามมาตรา 1300 ส่วนที่โจทก์กล่าวว่า การโอนระหว่างจำเลยทั้งสองเป็นการสมยอมนั้น จะเพิกถอนได้ก็เป็นเรื่องให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237 ซึ่งโจทก์จะต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่าลูกหนี้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าเจ้าหนี้เสียเปรียบ จึงพิพากษายืน