คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 601/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิตามสัญญาจะซื้อขายอสังหาาริมทรัพย์นั้น เป็นเพียงบุคคลสิทธิ ไม่ใช่ทรัพย์สิทธิซึ่งจะติดตามตัวทรัพย์เอากลับคืนจากบุคคลภายนอกได้และไม่เป็นสิทธิที่จะจดทะิบียนได้ จึงไม่มีสิทธิที่จะจดทะเบียนได้ จึงไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องให้เพิกถอนการโอนอสังหาริมทรัพย์ที่บุคคลอื่นได้จดทะเบียนไว้แล้ตามมาตรา 1300

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่า จำเลยตกลงจะขายที่นาแปลงวหนึ่งให้โจทก์ โจทก์ได้วางมัดจำไว้บ้างแล้ว ตกลงกันว่าเมื่อจำเลยได้รับโฉนดแล้วจะไปทำสัญญาซื้อขายกันต่อเจ้าพนักงาน จำเลยได้รับโฉนดแล้วกลับโอนขายให้จำเลยที่ ๒ เป็นการสมยอมและไม่สุจริต ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๑ โอนโฉนดให้โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่มาวางเงินโอนโฉนดและว่าตามสัญญามีว่าฝ่ายใดผิดสัญญา ก็ให้ริบมัดจำปรักบค่าเสียหายเท่านั้น ส่วนจำเลยที่ ๒ ว่าซื้อนาพิพากษาโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ ๒ รู้ว่าจำเลยที่ ๑ จะขายนาพิพาทให้โจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต และเห็นว่าคู่กรณีมิได้ประสงค์จะให้เรียกแต่ค่าเสียหายอย่างเดียว พิพากษาให้เพิกถอนสัญญาขายนาระหว่างจำเลยทั้งสองเสีย บังคับให้ขายให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยที่ ๒ ซื้อนาพิพาทโดยเสียค่าตอบแทน โจทก์ไม่ใช่ผู้อยู่ในฐานะจะจดทะเบียนได้ก่อน ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๐๐ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิตามสัญญาจะซื้อขายเป็นเพียงบุคคลสิทธิ โจทก์หามีทรัพย์สิทธิจะติดตามตัวทรัพย์ไปเอากลับคืนมรจากบุคคลมาจากบุคคลภายนอกได้ไม่ สิทธิที่โจทก์ได้มาตามสัญญาจะซื้อขายนั้นหาใช่สิทธิที่จะจดทะเบียนได้ จึงไม่มีสิทธิฟ้องร้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนรายนี้ตามมาตรา ๑๓๐๐ ส่วนที่โจทก์กล่าวว่า การโอนระหว่างจำเลยทั้งาสองเป็นการสมยอมนั้น จะเพิกถอนได้ก็เป็นเรื่องให้เพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา ๒๓๗ ซึ่งโจทก์จะต้องพิสูจน์ให้ได้ความว่า ลูกหนี้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าเจ้าหนี้เสียเปรียบจึงพิพากษายืน

Share