แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เช่าที่ดินของเขา เพื่อปลูกเรือนอาศัย มีกำหนด 20 ปี มีข้อสัญญาอยู่ข้อหนึ่งว่า เมื่อผู้ให้เช่าประสงค์จะขายที่ดินนั้น ผู้ให้เช่าต้องบอกขายกับผู้เช่าก่อน ฯลฯ ดังนี้ ครั้นผู้ให้เช่าผิดสัญญาขายที่ดินนั้นแก่ผู้อื่นไปโดยไม่บอกผู้เช่าก่อน ผู้เช่าย่อมมีสิทธิเพียงฟ้องเรียกค่าเสียหายเท่านั้น ผู้เช่าจะฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินนั้นระหว่างผู้ให้เช่ากับบุคคลภายนอก และบังคับให้ขายแก่ผู้เช่าไม่ได้ เพราะกำหนดในสัญญาดังกล่าวไม่พอให้ถือว่าเป็นคำมั่นหรือจะซื้อขาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยฯลฯ และบังคับจำเลยที่ ๑ โอนขายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว ทางพิจารณาได้ความว่า เดิมโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำสัญญากัยว่า จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์เช่าที่ส่วนหนึ่งของจำเลยเพื่อปลูกเรือนอาศัยมีกำหนด ๒๐ ปี และความในสัญญาข้อ ๓ มีว่า ” ผู้ให้เช่ามีความประสงค์จะซื้อขายที่ดิน เมื่อพ้นกำหนดในหนังสือสัญญาแล้ว ก็ดี หรือว่ายังไม่ถึงกำหนดในหนังสือสัญญาก็ดี ผู้ให้เช่ามีความประสงค์จะขายที่ดินแปลงที่ให้เช่านี้ ผู้ให้เช่าต้องบอกขายกับผู้เช่าก่อน เว้นไว้แต่ราคาจะไม่ตกลงกัน ฯลฯ ” โจทก์ได้ปลูกเรือนอยู่ในที่เช่าต่อมา พ.ศ.๒๔๙๔ จำเลยที่ ๑ ได้แบ่งขายที่ซึ่งโจทก์ทราบก่อน โจทก์ที่ ๒ – ๓ โดยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อน โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายดังกล่าวเสียและขายให้โจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ในสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จะมิได้ระบุถึงจำนวนราคาที่ซื้อขายกันไว้ก็ดี ก็ไม่ทำให้เป็นโมฆะเสียไป เพราะเป็นข้อตกลงด้วยความสมัครใจไม่ผิดกฎหมาย ข้อตกลงเช่นนี้เปิดโอกาศให้คู่สัญญาฟ้องร้องกันได้ แต่จะฟ้องบังคับให้จำเลยขายที่แก่โจทก์ดังคำฟ้องมิได้ เพราะข้อความในสัญญาไม่พอให้ถือว่าเป็นคำมั่น หรือจะซื้อขายได้ จึงพิพากษายืนในข้อยกฟ้อง แต่ไม่ตัดสิทธิจะฟ้องเรียกค่าเสียหาย