คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6008/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 มีเนื้อหาคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลเสียใหม่ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด มิฉะนั้นจะถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้มิใช่คำสั่งที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หรือมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 232 จึงมิใช่กรณีที่ผู้อุทธรณ์ (จำเลยที่ 1) จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 หากแต่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 229 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวโดยนำบทบัญญัติมาตรา 234 มาปรับแก่คดีนั้นจึงไม่ถูกต้อง
อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดีและงดสืบพยานของจำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่อุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ให้จำเลยที่ 1 นำค่าฤชาธรรมเนียมมาชำระให้ถูกต้อง ก็แปลได้ว่าหมายถึงค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในตอนแรก เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มีคำขอเพียงให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนขึ้นไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยที่ 1 แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นอุทธรณ์ในคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้าย ป.วิ.พ. เพียง 200 บาท ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มเติมตามจำนวนทุนทรัพย์จึงไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงิน หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 และยึดอายัดทรัพย์สินอื่นๆ ของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระให้โจทก์จนครบ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำให้การต่อสู้คดี ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วนัดสืบพยานจำเลยทั้งสอง ครั้นถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยที่ 1 ขอเลื่อนคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดีและงดสืบพยานของจำเลยที่ 1 แล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 5,499,971.71 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 มกราคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 14,936,977 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 11,348,131.80 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 9 กรกฎาคม 2542) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดที่ดินจำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดีและงดสืบพยานจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มา 200 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษา ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ แต่จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลมาเพียง 200 บาท จึงไม่ถูกต้อง ให้จำเลยที่ 1 นำค่าฤชาธรรมเนียมมาเสียให้ถูกต้องภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันนี้ มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีไม่มีเหตุผลเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ฉบับลงวันที่ 26 มีนาคม 2546
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่งโดยมิได้นำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 เป็นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า “คำร้องอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่ 26 มีนาคม 2546 ของจำเลยที่ 1 เป็นคำร้องที่จำเลยที่ 1 ยื่นต่อศาลชั้นต้นโดยในเนื้อหาของคำร้องได้คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ว่า “อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษา ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ แต่จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลมาเพียง 200 บาท จึงไม่ถูกต้อง ให้จำเลยที่ 1 นำค่าฤชาธรรมเนียมมาเสียให้ถูกต้องภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันนี้มิฉะนั้นให้ถือว่าไม่ติดใจอุทธรณ์” คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งในอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เช่นว่านี้ มิใช่คำสั่งที่ศาลชั้นต้นปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หรือคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 232 คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ยื่นคัดค้านคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นจึงมิใช่เป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ซึ่งผู้อุทธรณ์จะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 หากแต่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 229 กล่าวคือ เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยที่ 1 มิได้ชำระค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์โดยถูกต้องครบถ้วน ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะมีคำสั่งให้คู่ความนั้นชำระค่าธรรมเนียมศาลให้ถูกต้องครบถ้วนภายในระยะเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรก่อนที่จะมีคำสั่งไม่รับคำคู่ความนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 วรรคสอง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยคำร้องของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวโดยนำบทบัญญัติมาตรา 234 มาปรับแก่คดีนั้นจึงไม่ถูกต้อง และศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยใหม่ เห็นว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 เลื่อนคดีและงดสืบพยานของจำเลยที่ 1 ซึ่งมิใช่เป็นอุทธรณ์ในเนื้อหาของคำพิพากษาโดยมิได้ขอให้จำเลยที่ 1 ชนะคดี แม้ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นจะใช้ถ้อยคำว่าให้จำเลยที่ 1 นำค่าฤชาธรรมเนียมมาเสียให้ถูกต้องก็แปลได้ว่าหมายถึงค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในตอนแรก เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 มีคำขอแต่เพียงให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยที่ 1 แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงเป็นอุทธรณ์ในคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามตาราง 1 (2) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพียง 200 บาท ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มเติมตามจำนวนทุนทรัพย์จึงไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 1 และคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยที่ 1 นำค่าฤชาธรรมเนียมมาเสียให้ถูกต้องดังกล่าว ให้ศาลชั้นต้นตรวจสั่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ต่อไป

Share