คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะอ้างว่าที่ดินของโจทก์ที่จำเลยบุกรุกแย่งการครอบครองมีเนื้อที่ 250 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลมาในจำนวนทุนทรัพย์250,000 บาท ก็ตามแต่ตามแผนที่พิพาทซึ่งคู่ความรับรองว่าถูกต้องนั้นที่ดินที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันมีเนื้อที่เพียง 90 ไร่ 1 งาน06 ตารางวา จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดินที่พิพาทกันคิดไร่ละ1,000 บาท ตามฟ้องไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์และโจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาทในฐานะเจ้าของ ที่โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทตลอดมา จำเลยและจำเลยร่วมไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่า 1 แปลง เนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ เมื่อเดือนธันวาคม 2531 จำเลยนำรถขุดแมคโคเข้าไปตักดินตรงกลางที่ดินโจทก์ ต่อมาเดือนมิถุนายน 2532 จำเลยเข้าไปปลูกห้างนาและทำคอกเลี้ยงโคทางด้านทิศใต้ของที่ดินโจทก์ได้ห้ามปรามแล้วแต่จำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินที่จำเลยบุกรุกแย่งการครอบครอง เนื้อที่ประมาณ 250 ไร่ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายและขาดประโยชน์อันพึงได้ ที่พิพาทนี้หากโจทก์นำไปให้บุคคลอื่นเช่าจะได้ค่าเช่าไร่ละ 100 บาท ต่อปีเป็นอย่างต่ำที่พิพาทมีราคาไร่ละประมาณ 1,000 บาท ขอให้พิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยกับบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและปรับพื้นผิวดินให้คืนสู่สภาพเดิม ห้ามเกี่ยวข้อง ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 25,000 บาท ต่อปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2531 จนกว่าจะจัดการรื้อถอนอาคารออกไป
จำเลยให้การว่า ที่ดินที่จำเลยครอบครองมีเนื้อที่ 90 ไร่เป็นที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้ว จำเลยกับนางสุปราณีภริยาจำเลยซื้อมาจากนายอุทัย โดยมีค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริต มิใช่ที่ดินของโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ขอให้เรียกนางสุปราณี เข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การต่อสู้คดีที่ใจความเป็นอย่างเดียวกับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะอ้างว่าที่ดินของโจทก์ที่จำเลยบุกรุกแย่งการครอบครองมีเนื้อที่ 250 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลมาในจำนวนทุนทรัพย์ 250,000 บาท ก็ตาม แต่ตามแผนที่พิพาทซึ่งคู่ความรับรองว่าถูกต้องนั้น ที่ดินที่ทั้งสองฝ่ายโต้เถียงกันมีเนื้อที่เพียง 90 ไร่ 1 งาน 06 ตารางวา จำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่ดินที่พิพาทกันคิดไร่ละ 1,000 บาท ตามฟ้องไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์และไม่เคยครอบครองที่พิพาทในฐานะเจ้าของที่โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของที่พิพาทตลอดมา จำเลยและจำเลยร่วมไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาท จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานศาลอุทธรณ์ภาค 2 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริง
พิพากษาให้ยกฎีกาโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นชั้นฎีกาทั้งหมดและคืนค่าขึ้นศาลที่โจทก์เสียเกินมาทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แก่โจทก์

Share