คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6004/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามฎีกาของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่ปรากฏว่าการย้ายภารจำยอมจากทางพิพาทเดิมไปยังที่ดินในโฉนดเลขที่ 24612ของจำเลยที่ 5 ทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ลดน้อยลงประการใดบ้าง เพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่าการย้ายภารจำยอมดังกล่าวทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ลดน้อยลงเท่านั้นและทางที่เปิดเป็นภารจำยอมขึ้นใหม่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 24612ก็ปรากฏว่าเป็นทางเชื่อมต่อกับที่ดินว่างเปล่าพื้นเทคอนกรีตในที่ดินโฉนดเลขที่ 1157 ของจำเลยที่ 1 ออกสู่ถนนโดยสะดวกทั้งจำเลยที่ 1 ก็ดำเนินการปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้ามาในทางพิพาทเดิมตั้งแต่ปี 2525 หากทางพิพาทเป็นทางที่โจทก์ที่ 2และที่ 3 ผ่านเข้าออกโดยสะดวกอยู่ก่อนแล้ว โจทก์ที่ 2 และที่ 3ก็น่าจะรีบดำเนินการฟ้องร้องให้จำเลยที่ 1 ระงับการก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำทางพิพาทในเวลาอันสมควร แต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2ก็เพิ่งมาฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2527โดยมีโจทก์ที่ 3 ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม และโจทก์ที่ 2และที่ 3 ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยที่ 5 ถึงที่ 10 มาเป็นจำเลยร่วมในภายหลังซึ่งเป็นเวลาหลังจากเริ่มทำการก่อสร้างตึกแถวนานถึง 2 ปี และเป็นเวลาหลังจากทำการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งเป็นเวลาหลังจากโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10ไปแล้วอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทางพิพาทที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ใช้ผ่านเข้าออกมาแต่เดิมนั้นไม่ใช่ทางที่ผ่านเข้าออกโดยสะดวกถือได้ว่าการย้ายภารจำยอมจากทางพิพาทเดิมไปยังที่ดินในโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5 ไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2และที่ 3 ลดน้อยลง นอกจากนี้ก็ปรากฏว่าตึกแถวที่รุกล้ำเข้ามาในทางพิพาทกว้างประมาณ 3 ถึง 4 เมตร จำนวนตึกแถวที่รุกล้ำเข้ามาก็มีถึง 12 คูหา ซึ่งเห็นได้ว่าหากมีการรื้อตึกแถวในส่วนที่รุกล้ำเข้ามาทุกคูหาย่อมเกิดความเสียหายมาก การย้ายภารจำยอมดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 และเป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์อีกด้วย

ย่อยาว

คดีนี้เดิมโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4ต่อมานางประไพ จิตรวีระนันรังษี ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาตโดยให้เรียกว่าโจทก์ที่ 3 และต่อมาโจทก์ทั้งสามขอให้ศาลหมายเรียกนายไพบูรณ์ พุฒิรัตน์วงศ์ นายชวลิต โออดิศัยนายวิเชียร ปริญญารัตนชัย นางจิตทิพย์ ตั้งมั่นในกิจนายกิติ สิริรัตนกิจ และนางสุวรรณา ปิยะไพศาล รวม 6 คนเข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาตโดยให้เรียกว่าจำเลยที่ 5ถึงที่ 10
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 1157, 23607,23015, 23600, 23601, 24144, 24145, 24146, 24147, 24607,24608, 24609, 24610, 24611 และ 24612 ตำบลตลาดพลู (บางยี่เรือ)อำเภอธนบุรี (บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานคร ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 10เฉพาะส่วนตามแผนที่สังเขปในเครื่องหมายสีแดงและน้ำเงินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 20 เป็นทางภารจำยอมของบ้านและที่ดินของโจทก์ทั้งสาม ให้จำเลยทั้งสิบไปจดทะเบียนภารจำยอมดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานที่ดิน กรมที่ดิน หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา และให้ร่วมกันรื้อถอนตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างซึ่งรุกล้ำทางภารจำยอมให้อยู่ในสภาพคงเดิมโดยเสียค่าใช้จ่ายเองหากขัดขืนให้โจทก์ทั้งสามรื้อถอนได้ โดยให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันออกค่าใช้จ่ายแทนทั้งสิ้น
จำเลยทั้งสิบให้การในทำนองเดียวกันว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโจทก์ทั้งสามมิได้ใช้ทางพิพาทเข้าออกเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีทางพิพาทจึงไม่ตกเป็นภารจำยอม โจทก์ทั้งสามมีทางออกอื่นที่สะดวกกว่าทางพิพาท และรถยนต์ก็ไม่สามารถเข้าออกในทางพิพาทได้โจทก์ที่ 1 ไม่มีบ้านและที่ดินในซอยพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตจากทางราชการปลูกสร้างตึกแถวโดยชอบขณะที่ทำการก่อสร้างไม่เคยมีใครทักท้วงว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมจำเลยที่ 2 และที่ 10 ซื้อตึกแถวและที่ดินโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันรับผิดเปิดช่องทางจากจุด ช.จ.ฉ. ในที่ดินโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5ตามเอกสารหมาย จ.ล.3 ตลอดแนวจนถึงถนนเทอดไทให้มีขนาดกว้างรวมกับทางที่มีอยู่เดิมแล้วได้กว้างประมาณ 4 เมตร พอที่จะให้รถยนต์เก๋งสามารถเข้าออกสู่ถนนเทอดไทได้โดยสะดวก หากมีสิ่งกีดขวางให้ร่วมกันทำการรื้อแล้วปรับสภาพให้เป็นทางรถยนต์เข้าออกได้โดยสะดวก กับให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันไปดำเนินการจดทะเบียนเป็นทางภารจำยอมให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งสิบ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสิบให้ยกฟ้องโจทก์ที่ 1
โจทก์ทั้งสามและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเมื่อปี 2525 จำเลยที่ 1 จ้างให้นายเทียนชัย แซ่อึ้งปลูกสร้างตึกแถวทับทางพิพาทตามแผนที่เอกสารหมาย จ.ล.2 และ จ.ล.3 ซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มาก่อน ต่อมาจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 ซื้อที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าว จนถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสิบเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าว ดังนี้ จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1157 จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23600จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24145 และ 24146จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24147 จำเลยที่ 5เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24611 และ 24612 จำเลยที่ 6เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24608 จำเลยที่ 7 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24607 จำเลยที่ 8 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24609จำเลยที่ 9 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24610 และจำเลยที่ 10เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 24144 ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่ตำบลตลาดพลู (บางยี่เรือ) อำเภอธนบุรี (บางกอกใหญ่) กรุงเทพมหานครโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6624 และโจทก์ที่ 3ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 6625 และ 6626 กับพวกใช้ทางพิพาทเป็นทางเดินและทางรถยนต์ผ่านเข้าออกติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีจนทางพิพาทตกเป็นภารจำยอมตามกฎหมายแล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันมาว่า หากเปิดทางพิพาทเดิมจำต้องรื้อถอนด้านหลังตึกแถวจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คูหา ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมาก สมควรย้ายภารจำยอมจากทางพิพาทไปอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 5 โฉนดเลขที่ 24612 จากจุก ช.จ.ฉ. ในแผนที่เอกสารหมาย จ.ล.3 ตลอดแนวจนถึงถนนเทอดไท ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 มีเพียงข้อเดียวว่า การย้ายทางพิพาทไปยังช่องทางในที่ดินโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5 เป็นการทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ลดน้อยลงหรือไม่ โจทก์ที่ 2และที่ 3 ฎีกาว่า การย้ายภารจำยอมดังกล่าวทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ลดน้อยลง และตามสภาพตึกแถวที่จำเลยทั้งสิบร่วมกันปลูกรุกล้ำทางพิพาทเดิม หากรื้อถอนเฉพาะส่วนที่รุกล้ำก็เป็นการรื้อถอนเพียงส่วนที่ต่อเติมด้านหลังเท่านั้นไม่กระทบกระเทือนถึงตัวตึก จะมีเพียงตึกแถวเลขที่ 940ริมถนนเทอดไท ซึ่งจำเลยที่ 1 ปลูกรุกล้ำปากซอยตลาดพลู 3เพียงคูหาเดียวเท่านั้น จึงเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุดน่าที่จะบังคับให้จำเลยทั้งสิบรื้อถอนตึกแถวให้มีสภาพทางเดินเหมือนเดิม ซึ่งจะไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ลดน้อยลง เห็นว่าฎีกาของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ไม่ปรากฏว่าการย้ายภารจำยอมจากทางพิพาทเดิมไปยังที่ดินในโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5ทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ลดน้อยลงประการใดบ้างเพียงแต่กล่าวอ้างลอย ๆ ว่าการย้ายภารจำยอมดังกล่าว ทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ลดน้อยลงเท่านั้น และทางที่เปิดเป็นภารจำยอมขึ้นใหม่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 24612 ตามที่ปรากฏในแผนที่เอกสารหมาย จ.ล.3 ก็ปรากฏว่าเป็นทางเชื่อมต่อกับที่ดินว่างเปล่าพื้นเทคอนกรีตในที่ดินโฉนดเลขที่ 1157 ของจำเลยที่ 1ออกสู่ถนนเทอดไทโดยสะดวก ทั้งจำเลยที่ 1 ก็ดำเนินการปลูกสร้างตึกแถวรุกล้ำเข้ามาในทางพิพาทเดิมตั้งแต่ปี 2525หากทางพิพาทเป็นทางที่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ผ่านเข้าออกโดยสะดวกอยู่ก่อนแล้ว โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ก็น่าจะรีบดำเนินการฟ้องร้องให้จำเลยที่ 1 ระงับการก่อสร้างตึกแถวรุกล้ำทางพิพาทในเวลาอันสมควรแต่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ก็เพิ่งมาฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2527 โดยมีโจทก์ที่ 3 ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมและโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยที่ 5ถึงที่ 10 มาเป็นจำเลยร่วมในภายหลังซึ่งเป็นเวลาหลังจากเริ่มทำการก่อสร้างตึกแถวนานถึง 2 ปี และเป็นเวลาหลังจากทำการก่อสร้างเสร็จสิ้นแล้วทั้งเป็นเวลาหลังจากโอนขายให้แก่จำเลยที่ 2ถึงที่ 10 ไปแล้วอีกด้วย แสดงให้เห็นว่าทางพิพาทที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ผ่านเข้าออกมาแต่เดิมนั้นไม่ใช่ทางที่ผ่านเข้าออกโดยสะดวก ถือได้ว่าการย้ายภารจำยอมจากทางพิพาทเดิมไปยังที่ดินในโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5 ไม่ทำให้ความสะดวกของโจทก์ที่ 2และที่ 3 ลดน้อยลง นอกจากนี้ตามคำฟ้องประกอบแผนที่เอกสารหมาย จ.ล.3 ก็ปรากฏว่าตึกแถวที่รุกล้ำเข้ามาในทางพิพาทกว้างประมาณ 3 ถึง 4 เมตร จำนวนตึกแถวที่รุกล้ำเข้ามาก็มีถึง 12 คูหา ซึ่งเห็นได้ว่าหากมีการรื้อตึกแถวในส่วนที่รุกล้ำเข้ามาทุกคูหาย่อมเกิดความเสียหายมาก การย้ายภารจำยอมดังกล่าวจึงเป็นประโยชน์แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 และเป็นการเหมาะสมแก่พฤติการณ์อีกด้วยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้เปิดช่องทางจากจุด ช.จ.ฉ.ในที่ดินโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5 ตามเอกสารหมาย จ.ล.3นั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ที่ 2 และที่ 3ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้เปิดช่องทางจากจุด ช.จ.ฉ. ในที่ดินโฉนดที่ 24612 ของจำเลยที่ 5 ตามเอกสารหมายจ.ล.3 ตลอดแนวจนถึงถนนเทอดไทนั้นปรากฏตามแผนที่เอกสารหมายจ.ล.3 ว่า เมื่อเปิดช่องทางจากจุด ช.จ.ฉ. เพื่อออกสู่ถนนเทอดไทนั้นต้องผ่านที่ว่างเป็นถนนหน้าตึกแถวในที่ดินโฉนดเลขที่ 1157ของจำเลยที่ 1 เสียก่อน จึงจะออกสู่ถนนเทอดไทได้สมควรแก้ไขให้ชัดแจ้ง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันรับผิดเปิดช่องทางจากจุด ช.จ.ฉ. ในที่ดินโฉนดเลขที่ 24612 ของจำเลยที่ 5 เชื่อมต่อกับที่ว่างซึ่งเป็นถนนหน้าตึกแถวในที่ดินโฉนดเลขที่ 1157ของจำเลยที่ 1 ตามแผนที่เอกสารหมาย จ.ล.3 ไปตลอดแนวจนถึงถนนเทอดไท สำหรับถนนในที่ดินของจำเลยที่ 1 ที่เปิดเป็นทางภารจำยอมนั้น ให้วัดจากขอบถนนทางด้านตะวันออกโดยให้มีความกว้างประมาณ 4 เมตรตลอดแนว นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share