คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า แม้โจทก์จะได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ที่พิพาทตลอดมาก็มิได้เป็นข้อสันนิษฐานว่ามีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด เมื่อจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทในฐานะเป็นเจ้าของมานานถึง 20 ปีแล้ว จำเลยจึงได้สิทธิครอบครอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท เนื้อที่ประมาณ11 ไร่ ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 12 บ้านเสียงชัย ตำบลบุแกรง อำเภอจอมพระจังหวัดสุรินทร์ เดิมเป็นที่ดินของนายเพย บรรลือทรัพย์ บิดาโจทก์ต่อมาปี พ.ศ. 2419 บิดาโจทก์ได้นำที่ดินพิพาทไปประกันหนี้เงินยืมของนายสุข ขาวงาม เป็นเงิน 1,500 บาท โดยมอบที่ดินพิพาทให้นายสุขทำกินต่างดอกเบี้ยไม่มีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอน นายสุขยินยอมให้บิดาโจทก์ไถ่ถอนคืนเมื่อใดก็ได้ ต่อมาปี พ.ศ. 2524 นายสุขได้ให้จำเลยเป็นผู้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแทน จำเลยได้แจ้งให้บิดาโจทก์และโจทก์ทราบด้วยว่าหากจะไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนก็ให้ไถ่ถอนคืนจากจำเลยได้ ต่อมาในเดือนกันยายน 2527 บิดาโจทก์และนายสุขถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทจึงเป็นมรดกตกทอดได้แก่โจทก์ โจทก์ขอไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจากจำเลย จำเลยจะให้ไถ่คืนในราคา 50,000 บาทขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนให้แก่โจทก์ และรับชำระหนี้เงินกู้จากโจทก์จำนวน 1,500 บาท
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณ 26 ปีมาแล้ว บิดาโจทก์ได้นำที่ดินพิพาทแลกเปลี่ยนกับกระบือ 1 ตัว ของนายสุข ขาวงาม จากนั้นบิดาโจทก์ก็ได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทและส่งมอบให้แก่นายสุข ต่อมาอีก 6 ปี นายสุขก็ได้นำที่ดินพิพาทแลกกับกระบือ 1 ตัว ของจำเลยจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมา หาได้ครอบครองแทนบิดาโจทก์ไม่ ที่ดินพิพาทไม่เป็นมรดกที่จะตกได้แก่โจทก์ผู้เป็นทายาทแต่อย่างใด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิไถ่ถอนที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าบิดาโจทก์มีนาประมาณ 80 ไร่เศษ นับว่ามาก ย่อมต้องการกระบือไว้ใช้ทำนา ที่ดินพิพาทเป็นป่าละเมาะเป็นส่วนใหญ่ ใช้ทำนาได้เพียง 1-2 ไร่เท่านั้น จึงมีราคาถูกและขายยาก ถ้าแลกกระบือในราคาไม่ต่างกันมากนักก็สมเหตุผล เพราะสะดวกไม่ต้องขายที่ดินพิพาทก่อนแล้วจึงจะซื้อกระบือ แต่ถ้าราคาต่างกันมาก บิดาโจทก์มีนาถึง 80 ไร่เศษ มิได้ยากจน น่าจะรีบไถ่ถอนคืนโดยเร็ว ไม่น่าจะปล่อยเวลาล่วงเลยมาถึง 7 ปีจนกระทั่งถึงแก่กรรม ฉะนั้นข้อที่โจทก์นำสืบว่ายืมเงินนายสุข 1,500 บาท แล้วมอบที่ดินพิพาทให้นายสุขทำกินต่างดอกเบี้ย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2524 นายสุขได้ย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อำเภอสังขะจังหวัดสุรินทร์ จึงให้จำเลยซึ่งเป็นน้องเขยเข้าทำกินในที่ดินพิพาทแทนนั้น เห็นว่า พยานโจทก์เบิกความลอย ๆ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังฝ่ายจำเลยซึ่งมีสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งมีพนักงานเจ้าหน้าที่รับรองถูกต้องตามเอกสารหมาย ล.1 และ ล.2 ว่านายสุขได้ย้ายครอบครัวไปอยู่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2507 บิดาโจทก์เอาที่ดินพิพาทมาแลกกระบือ 1 ตัว ของนายสุข ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 ครั้นนายสุขจะย้ายครอบครัวจึงได้เอาที่ดินพิพาทมาแลกกระบือเพศเมีย ซึ่งยังไม่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณของจำเลย การแลกที่ดินพิพาททั้ง 2 คราว นายเผื่อน ทองศรี ผู้ใหญ่บ้าน และนางเกียง ขาวงาม ภรรยานายสุข เป็นพยานรู้เห็นด้วย กระบือที่นายสุขแลกไป ขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่ออกลูกจนถึงชั้นเหลนแล้ว ฝ่ายจำเลยมีพยานเอกสารและพยานบุคคลเบิกความอย่างมีเหตุผลทำให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า จำเลยครอบครองในฐานะเป็นเจ้าของมานานถึง 20 ปี จึงได้สิทธิครอบครองที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ที่ดินพิพาทตลอดมานั้น เห็นว่า การเสียภาษีบำรุงท้องที่มิได้เป็นข้อสันนิษฐานว่าผู้เสียมีสิทธิครอบครองแต่อย่างใด ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share