คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ ฟ้องอ้างว่าโจทก์ได้ให้ที่ดินแก่จำเลยไปแล้ว โจทก์ขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาให้ ดังนี้ ความประสงค์ก็คือเอากรรมสิทธิ ซึ่งโจทก์ว่าได้โอนไปให้ แล้วกลับคืนมานั่นเอง ดังจะเห็นได้จากคำขอที่ให้ถอนชื่อจำเลยออกเสียจากโฉนด คงชื่อไว้แต่โจทก์ผู้เดียวนั้น เป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน และเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์ อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน โจทก์ได้ทำสัญญาที่หอทะเบียน ให้ที่ดินอันเป็นทรัพย์เดิมของโจทก์ให้แก่จำเลยโดยลงชื่อจำเลยในโฉนดร่วมกับโจทก์ด้วยอีกชื่อหนึ่ง จำเลยทำการเป็นปกปักษ์ต่อกรณีเป็นภริยาโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ประสงค์จะเพิกถอนล้างสัญญานั้น และได้บอกล้างสัญญานั้นไปยังจำเลย ให้จำเลยส่งโฉนดคืนมาให้โจทก์พร้อมทั้งเซ็นใบมอบฉันทะ เพื่อโจทก์จะนำไปทำการยกเลิก จำเลยเพิกเฉยเสีย จึงขอให้ศาลเพิกถอนฆ่าหนังสือสัญญาระหว่างโจทก์ จำเลย และเรียกโฉนดและสัญญาจากจำเลย และมีคำสั่งให้หอทะเบียนขีดฆ่าหนังสือสัญญาและถอนชื่อจำเลยออกจากโฉนด และคืนให้โจทก์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า การฟ้องเช่นนี้เป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้โจทก์ตีราคาที่ดินมาภายใน ๓ วัน โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่าเป็นการอุทะรณ์คำสั่งระหว่างพิจดารณา จึงไม่รับอุทธรณ์ ครบ ๓ วันโจทก์ไม่ตีราคาที่ดิน ศาลชั้นต้นจึงสั่งไม่รับคำฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการที่โจทก์ขอให้ถอนชื่อจำเลยออก ก็คือให้เพิกถอนกรรมสิทธิในที่ดินของจำเลย เท่ากับเป็นการเรียกร้องเอาที่ดินคืน พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่า การเรียกโฉนดคืนก็ดี ขอแก้ชื่อในโฉนดซึ่งผิดก็ดี อาจจะไม่เป็นการกระทบกระเทือนถึงกรรมสิทธิชะนิดที่เรียกว่า เรียกที่ดินคืนก็ได้ แต่โดยผู้ที่ยึดโฉนดไว้ก็ดี ผู้มีชื่อในโฉนดผิดก็ดี อาจไม่ใช่เป็นผู้มีกรรมสิทธิในที่แปลงนั้น คดีนี้โจทก์ว่า โจทก์ได้ให้ที่ดินแก่จำเลยไปแล้ว แม้โจทก์จะกล่าวว่า ขอให้เพิกถอนสัญญาให้แต่คราวก่อน แต่ความประสงค์ก็คือ เอากรรมสิทธิซึ่งโจทก์ว่าได้โอนไปให้แล้ว กลับคืนมานั่นเอง ดังจะเห็นได้จากคำขอที่ให้ถอนชื่อจำเลยออกเสียจากโฉนด คงชื่อไว้แต่โจทก์ผู้เดียว จึงเป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืน เป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์ อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
พิพากษายืน.

Share