คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5984/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับความรับผิดของตัวการที่มีต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น ไม่มีข้อความใดที่กำหนดให้บุคคลภายนอกต้องรับผิดหรือมีความผูกพันต่อตัวการเลย บุคคลภายนอกจึงมีอำนาจฟ้องให้ตัวการรับผิดได้แต่บุคคลภายนอกไม่อาจฟ้องตัวแทนได้ และตัวการก็จะฟ้องบุคคลภายนอกให้รับผิดไม่ได้เช่นกัน เมื่อจำเลยเป็นบุคคลภายนอกจึงหาอาจจะกล่าวอ้างหรือพิสูจน์ว่าโจทก์ซึ่งลงชื่อเป็นผู้จะซื้อในสัญญาที่ทำกับตนนั้นเป็นเพียงตัวแทนเชิดของ ว. ตัวการเพื่อให้จำเลยไม่ต้องผูกพันหรือรับผิดตามสัญญาได้ไม่ ทั้งการที่จำเลยนำสืบว่าความจริงโจทก์ไม่ใช่ผู้จะซื้อแต่ ว. เป็นผู้จะซื้อนั้น ย่อมเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาจะซื้อขาย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข) ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ จากจำเลยในราคา 4,125,000 บาท โดยโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำให้แก่จำเลย 1,200,000 บาท จำเลยตกลงว่าจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ในวันที่ 14 เมษายน 2540 และโจทก์จะชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยในวันดังกล่าว หากจำเลยผิดสัญญาต้องคืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีก1,200,000 บาท ภายหลังจำเลยไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินของจำเลยออกโดยคลาดเคลื่อนไม่ชอบด้วยกฎหมายโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนเงินมัดจำและชำระค่าเสียหาย แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,509,972.60 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญากับจำเลย โจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของนายวิจัย วัฒนาประสิทธิ์ บิดาโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นายสุนทรนายหน้าติดต่อกับนายวิจัยบิดาโจทก์ให้ซื้อที่ดินพิพาทของจำเลย ต่อมาวันที่ 13ตุลาคม 2539 มีการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทในราคา 4,125,000 บาท วางเงินมัดจำ 1,200,000 บาท ส่วนที่เหลือจะชำระในวันโอนที่ดินวันที่ 14 เมษายน 2540หากผู้จะขายผิดสัญญาต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้จะซื้อ 1,200,000 บาท โดยจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้จะขาย ส่วนโจทก์ลงลายมือชื่อเป็นผู้จะซื้อ ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1

มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้ศาลล่างทั้งสองต่างวินิจฉัยว่า นายวิจัยบิดาโจทก์เชิดโจทก์เป็นตัวแทนทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 กับจำเลย สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวจึงผูกพันระหว่างจำเลยกับนายวิจัยตัวการ โจทก์ในฐานะตัวแทนมิใช่คู่สัญญากับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ตามคำให้การจำเลย จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาที่แท้จริง โจทก์ลงนามในสัญญาจะซื้อขายแทนนายวิจัยบิดาโจทก์ โจทก์เป็นเพียงตัวแทนเชิดของนายวิจัย เมื่อพิเคราะห์ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตัวแทนในหมวด 4ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรับผิดของตัวการและตัวแทนต่อบุคคลภายนอกบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องตัวแทนเชิดไว้ในมาตรา 821 ว่า บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเหมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน จะเห็นได้ว่าตามบทบัญญัติดังกล่าวเป็นเรื่องที่บัญญัติถึงความรับผิดของตัวการที่มีต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น ไม่มีข้อความใดที่กำหนดให้บุคคลภายนอกต้องรับผิดหรือมีความผูกพันต่อตัวการเลย ดังนี้ บุคคลภายนอกย่อมมีอำนาจฟ้องตัวการให้รับผิดได้ แต่บุคคลภายนอกไม่อาจฟ้องตัวแทนได้ และตัวการก็จะฟ้องบุคคลภายนอกให้รับผิดไม่ได้เช่นกัน กรณีคดีนี้จำเลยเป็นบุคคลภายนอก จำเลยจะมากล่าวอ้างและนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่า โจทก์ผู้ซึ่งลงชื่อเป็นผู้จะซื้อในสัญญาที่ทำกับตนเป็นเพียงตัวแทนเชิดของนายวิจัยตัวการเพื่อให้จำเลยไม่ต้องผูกพันหรือรับผิดตามสัญญาไม่ได้ หากยอมให้จำเลยนำสืบเช่นนั้นได้ กรณีอาจจะทำให้นอกจากจำเลยไม่ต้องผูกพันหรือรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยยังไม่ต้องรับผิดต่อนายวิจัยด้วย ข้ออ้างของจำเลยดังกล่าวไม่อาจปรับใช้กับมาตรา 821 ได้ ฉะนั้น การที่จะให้จำเลยนำสืบว่า ความจริงโจทก์ไม่ใช่ผู้จะซื้อแต่นายวิจัยเป็นผู้จะซื้อนั้น ย่อมเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมายจ.1 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94(ข) ที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยนำสืบในข้ออ้างดังกล่าวและวินิจฉัยว่า นายวิจัยบิดาโจทก์เชิดโจทก์เป็นตัวแทนทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทกับจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาที่ว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์เสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัยมา แม้คู่ความจะได้นำสืบข้อเท็จจริงมาเสร็จสิ้นเป็นการเพียงพอที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียเองได้ก็ตาม แต่เพื่อให้คดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาลจึงเห็นสมควรย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาปัญหาดังกล่าว”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share