แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1 ในข้อหาลักทรัพย์และควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ไปที่รถโดยสิบตำรวจโท ศ. กับนายดาบตำรวจ อ. เดินขนาบข้างคล้องแขนจำเลยที่ 1 ไว้คนละข้าง ระหว่างทางจำเลยที่ 2 กับพวกประมาณ 10 ถึง 15 คน เข้ามาแย่งตัวจำเลยที่ 1โดยจำเลยที่ 2 เข้ามาดึงตัวจำเลยที่ 1 ออกไป และถีบสิบตำรวจโท ศ. กับนายดาบตำรวจอ. ส่วนจำเลยที่ 1 ได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการถูกควบคุมตัว ซึ่งแม้ว่าในการดิ้นรนของจำเลยที่ 1 จะเป็นเหตุให้เท้าของจำเลยที่ 1 ไปโดนสิบตำรวจโท ศ. กับนายดาบตำรวจ อ. ก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลักวิทยุมือถือยี่ห้อโมโตโรล่า 1 เครื่อง ราคา 25,000 บาทของกรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสิบตำรวจเอกดำรงศักดิ์ แฮดจ่างเพื่อใช้ในราชการไป และจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันต่อสู้ขัดขวางร้อยตำรวจตรีสุรศักดิ์บุตรทองทิม กับพวก ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอโขงเจียมขณะปฏิบัติหน้าที่จับกุมจำเลยที่ 1 ควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน โดยใช้กำลังประทุษร้ายด้วยการช่วยกันสะบัดและฉุดกระชากจำเลยที่ 1 ให้พ้นจากการควบคุม และผลักกับถีบร้อยตำรวจตรีสุรศักดิ์กับพวกเพื่อให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 138, 140, 83, 91
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคสอง (ที่ถูกเป็นวรรคหนึ่ง) กระทงหนึ่งจำคุก 3 ปี และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140, 84 (ที่ถูกเป็น 83) อีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปีและจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน และจำเลยที่ 2 มีกำหนด 8 เดือน
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปตามฎีกาของจำเลยที่ 1มีว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือไม่ โจทก์ร้อยตำรวจโทสุรศักดิ์ สิบตำรวจเอกดำรงศักดิ์ นายดาบตำรวจอิทธิพล ฟองลม และสิบตำรวจโทศึกษาส่องแสง เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากจับจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ได้ควบคุมตัวจำเลยที่ 1 เดินไปที่รถยนต์ซึ่งจอดอยู่ที่บริเวณหน้าวัดหนองแสงน้อย โดยมีสิบตำรวจโทศึกษากับนายดาบตำรวจอิทธิพลเดินขนาบข้างคล้องแขนจำเลยที่ 1 ไว้คนละข้าง ระหว่างทางได้มีจำเลยที่ 2 กับพวกประมาณ 10 ถึง15 คน เข้ามาแย่งตัวจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้เข้ามาดึงตัวจำเลยที่ 1 ออกไป และถีบสิบตำรวจโทศึกษากับนายดาบตำรวจอิทธิพล ส่วนจำเลยที่ 1 ได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการถูกควบคุมตัว เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ตามที่ได้ความจากคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าว คงได้ความแต่เพียงว่าระหว่างที่จำเลยที่ 2 กับพวก เข้าแย่งตัวจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการถูกควบคุมตัวเท่านั้นซึ่งแม้ว่าในการดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการถูกควบคุมของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจะเป็นเหตุให้เท้าของจำเลยที่ 1 ไปโดนสิบตำรวจโทศึกษากับนายดาบตำรวจอิทธิพล ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมตัวจำเลยที่ 1 ก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) วรรคหนึ่ง ลงโทษจำคุก 3 ปี คำรับของจำเลยที่ 1 ในชั้นจับกุม เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาเป็นเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1