แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ออกเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ เพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 ต้องคืนเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ให้แก่จำเลยที่ 1 เนื่องจากไม่มีหนี้สินต่อกัน ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้ว จำเลยที่ 3 นำเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ไปฝากไว้กับโจทก์ โดยจำเลยที่ 3 กับโจทก์มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง โจทก์ครอบครองเช็คพิพาทแทนจำเลยที่ 3 จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3 เคยทำหนังสือยอมรับว่าเช็คพิพาท 3 ฉบับ ไม่มี
หนี้สินต่อกันตามสำเนาเอกสารท้ายคำให้การ ตามคำให้การดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ 3 โอนเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ ให้แก่โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 เป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ทำให้มีประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 สามารถนำสืบว่าโจทก์กับจำเลยที่ 3 ร่วมกันโอนเช็คพิพาททั้ง 4 ฉบับ โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 19 มิถุนายน 2541 ให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ
ประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นประเด็นในเรื่องที่โต้แย้งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยกขึ้นต่อสู้ตลอดมาทั้งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและจำเลยไม่อาจยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ได้ก็ตาม แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในประเด็นที่ได้ให้การต่อสู้ไว้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความ และพิพากษาให้ตรงตามประเด็นข้อพิพาทได้ ทั้งนี้อาศัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243(2) ประกอบมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน ๑,๐๒๙,๘๕๒.๗๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๙๘๑,๑๐๒ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การรับว่าได้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทจริง แต่ปฏิเสธความรับผิดโดยยกข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงด้วย ข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนในฐานะผู้สั่งจ่ายกับจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ทรงคนก่อน ๆ โดยมิได้กล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๓ กับโจทก์ได้โอนเช็คพิพาทโดยคบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ คดีจึงไม่มีประเด็นให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นำสืบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙๘๑,๑๐๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจำนวน ๑๙๕,๐๐๐ บาท ๒๒๐,๑๕๐ บาท ๔๐๐,๑๕๐ บาท ๑๖๕,๘๐๒ บาท นับตั้งแต่ วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๐ และวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๐ ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารตามเช็คแต่ละฉบับปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๔๐) ต้องไม่เกิน ๔๘,๗๕๐.๗๖ บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๙,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ ๓,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นและนัดฟังคำพิพากษาโดยเห็นว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยกข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในฐานะผู้สั่งจ่ายกับจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้ทรงคนก่อน ๆ โดยไม่มีข้อความตอนใดที่แสดงว่าจำเลยที่ ๓ กับโจทก์คบคิดกันฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ ขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปทันที เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อกฎหมายเบื้องต้นซึ่งทำให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปทันที จึงมิใช่ คำสั่งระหว่างพิจารณาที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะต้องโต้แย้งไว้ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ได้ การที่ ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ไม่รับวินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวตามที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยกขึ้นอุทธรณ์จึงเป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ให้การต่อสู้ไว้แล้วว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้ออกเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับ เพื่อชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ต้องคืนเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับ ให้แก่จำเลยที่ ๑ เนื่องจากไม่มีหนี้สินต่อกัน ซึ่งโจทก์ก็ทราบดีอยู่แล้ว จำเลยที่ ๓ นำเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับ ไปฝากไว้กับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๓ กับโจทก์มีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง โจทก์ครอบครองเช็คพิพาทแทนจำเลยที่ ๓ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๓ เคยทำหนังสือยอมรับว่า เช็คพิพาท ๓ ฉบับ ไม่มีหนี้สินต่อกันตามสำเนาเอกสารท้ายคำให้การ ตามคำให้การดังกล่าวเห็นได้ว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยที่ ๓ โอนเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับ ให้แก่โจทก์โดยคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๙๑๖ เป็นคำให้การที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๗ วรรคสอง ทำให้มีประเด็นข้อพิพาทที่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ สามารถนำสืบว่าโจทก์กับจำเลยที่ ๓ ร่วมกันโอนเช็คพิพาททั้ง ๔ ฉบับ โดยคบคิดกันฉ้อฉลหรือไม่ ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับ ลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๑ ให้งดสืบพยานจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในประเด็นดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ และประเด็นตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ดังกล่าวเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นประเด็นในเรื่องที่โต้แย้งว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ยกขึ้นต่อสู้ตลอดมาทั้งในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา แม้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา และจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่อาจยกประเด็นดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์ได้ก็ตาม แต่ศาลฎีกามีอำนาจที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ในประเด็นที่ได้ให้การต่อสู้ไว้เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญแห่งคดีจนสิ้นกระแสความ และพิพากษาให้ตรงตามประเด็นข้อพิพาทได้ ทั้งนี้อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓ (๒) ประกอบมาตรา ๒๔๗ ที่ศาลล่างทั้งสองพิจารณาพิพากษาคดีมานั้นเป็นการไม่ชอบ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๗ ในส่วนที่พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชำระเงินตามเช็คพิพาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีในประเด็นนี้เสียใหม่ โดยให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นำพยานมาสืบได้ตามข้อต่อสู้ในคำให้การแล้วจึงพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่