แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538 บังคับแต่เพียงว่าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ อย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญจะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้เท่านั้น มิได้บังคับว่าจะต้องแนบสัญญาเช่าหรือหลักฐานการเช่ามาพร้อมกับคำฟ้องด้วย จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับไว้เช่นนั้นด้วย
การที่ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ไปทีเดียว หรือจะรอไว้วินิจฉัยในคำพิพากษานั้น เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นและปัญหากฎหมายที่จำเลยขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นนั้น แม้จะวินิจฉัยชี้ขาดก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลย เพราะข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจะพิจารณาวินิจฉัยพร้อมคำพิพากษาให้ดำเนินการสืบพยานไป ดังนี้ชอบด้วยกระบวนพิจารณาความแล้ว
ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรก ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีเพราะจำเลยไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง และทนายจำเลยแถลงด้วยว่านัดหน้าถ้าจำเลยไม่มาศาล ก็จะไม่ขอเลื่อน ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่ 2 จำเลยกลับไม่เตรียมพยานมาและขอเลื่อนอีก ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้เลื่อนและให้ทนายจำเลยนำจำเลยเข้าเบิกความเป็นพยาน ทนายจำเลยก็ไม่ยอมนำเข้าเบิกความ ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะประวิงคดีเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีล่าช้า การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้เลื่อนวันสืบพยาน และถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน และไม่มีพยานมาสืบจึงเป็นการชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกห้องแถวให้ผู้อื่นเช่า ๑๒ ห้อง และอยู่เอง ๒ ห้อง มีกำหนด ๓ ปีค่าเช่าเดือนละ ๑๓๖ บาท เมื่อครบกำหนดแล้วโจทก์เตือนให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างภายใน ๑๐ วัน แต่จำเลยก็ยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยละเมิดทำให้โจทก์เสียหายเดือนละ ๒๐๔ บาท ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารกับให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยชำระค่าเช่าประจำเดือนธันวาคม ๒๕๑๔ เป็นเงิน ๑๓๖ บาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๒๐๔ บาท นับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๑๕ จนกว่าจำเลยจะรื้อสิ่งปลูกสร้างและทำที่ดินให้คงสภาพเดิมเสร็จให้โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยปลูกห้องแถวในที่ดินของโจทก์ให้คนเช่าแล้วเอาค่าเช่ามาแบ่งกัน จำเลยจึงปลูกห้องแถวรวม ๑๘ ห้อง และเก็บค่าเช่าแบ่งให้โจทก์เดือนละ ๑๓๖ บาทมา ๑๐ ปีเศษแล้ว โดยไม่ได้ทำสัญญากันไว้ แต่เป็นสัญญาต่างตอบแทนโจทก์จะเลิกสัญญาและขับไล่จำเลยไม่ได้ แม้จะมีสัญญาเช่าขึ้นภายหลังก็เป็นเพียงนิติกรรมอำพราง
ในวันนัดพร้อม จำเลยรับนำสืบก่อน และศาลชั้นต้นสั่งนัดสืบพยานจำเลยวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๕ เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา ก่อนถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยร้องว่าโจทก์อ้างว่าจำเลยเช่าที่ดินของโจทก์มีกำหนด ๓ ปี แต่โจทก์ไม่ได้ส่งหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงชื่อจำเลยมาพร้อมกับคำฟ้องต้องห้ามไม่ให้ฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ในวันนัดสืบพยานจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ข้อเท็จจริงยังไม่พอวินิจฉัยได้จะได้พิจารณาวินิจฉัยพร้อมคำพิพากษา ทนายจำเลยขอเลื่อนวันนัดสืบพยานเพราะจำเลยไม่มาศาล หากถึงวันนัดจำเลยไม่มาศาลอีกก็จะไม่ขอเลื่อน ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปสืบพยานจำเลยวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๑๕ เวลา ๘.๓๐ นาฬิกา
วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๑๕ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ วันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๑๕ จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์คำสั่งของจำเลย
วันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๑๕ อันเป็นวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยขอให้งดการสืบพยานไว้ก่อนเพื่อรอฟังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลย จำเลยขอเลื่อนคดีไปเพราะไม่ได้เตรียมพยานมาโจทก์คัดค้าน ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยเคยแถลงไว้แล้วว่าจะไม่ขอเลื่อนคดี รูปคดีบ่งชัดว่าต้องการประวิงคดี จึงไม่อนุญาตให้เลื่อนและให้ทนายจำเลยนำจำเลยซึ่งมาศาลเข้าเบิกความ ทนายจำเลยแถลงว่าไม่ขอเบิกความในวันนั้น เพราะถ้าเบิกความไปก็จะไร้ผลในเรื่องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อโต้แย้งของจำเลยไม่มีเหตุผล ถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานและไม่มีพยานมาสืบ และมีคำสั่งให้เลื่อนไปสืบพยานโจทก์ จำเลยโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้แล้ว
เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ และให้จำเลยรื้อสิ่งปลูกสร้างออกไปด้วยให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง ๑๓๖ บาท และค่าเสียหายเดือนละ ๑๓๖ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าด้วยแต่โจทก์ไม่แนบสัญญาเช่ามาพร้อมกับคำฟ้อง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๓๘ บังคับแต่เพียงว่าในการเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้เท่านั้น มิได้บังคับว่าจะต้องแนบสำเนาสัญญาเช่าหรือหลักฐานการเช่าพร้อมกับคำฟ้องด้วยจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ทั้งไม่มีกฎหมายบทใดบังคับเช่นนั้น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ศาลชั้นต้นไม่วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามคำร้องของจำเลยไปทีเดียว และที่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เลื่อนวันสืบพยานจำเลยแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานไม่ชอบนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔ ไปทีเดียวหรือจะรอวินิจฉัยในคำพิพากษานั้นเป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นและปัญหากฎหมายที่จำเลยขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นนั้นแม้จะวินิจฉัยชี้ขาดก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลย เพราะข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งว่าจะพิจารณาวินิจฉัยพร้อมคำพิพากษาให้ดำเนินการสืบพยานไป ดังนี้ชอบด้วยกระบวนพิจารณาความแล้ว ในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๑๕ ทนายจำเลยขอเลื่อนคดีเพราะจำเลยไม่มาศาลโดยไม่ทราบเหตุขัดข้อง และจำเลยแถลงด้วยว่านัดหน้าถ้าจำเลยไม่มาศาลก็จะไม่ขอเลื่อนในวันนัดสืบพยานจำเลยครั้งที่ ๒ จำเลยกลับไม่เตรียมพยานมาและขอเลื่อนวันสืบพยานจำเลยอีก เมื่อศาลชั้นต้นไม่ยอมให้เลื่อนและให้ทนายจำเลยนำจำเลยเข้าเบิกความเป็นพยาน ทนายจำเลยก็ไม่ยอมนำจำเลยเข้าเบิกความเป็นพยาน จึงเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาประวิงคดีเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีล่าช้า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่ให้เลื่อนวันสืบพยานจำเลยและถือว่าจำเลยไม่ติดใจสืบพยานและไม่มีพยานมาสืบนั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน