คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันได้เปิดกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ โดยบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัดเป็นผู้ดำเนินงานแทน โดยมีข้อตกลงว่าสมาคมจะใช้เงินสงเคราะห์ให้แก่ผู้รับประโยชน์เมื่อบุคคลผู้เป็นสมาชิกถึงแก่กรรม ตามจำนวนและเงื่อนไขการจ่ายเงินที่กำหนดไว้ในระเบียบการฌาปนกิจสงเคราะห์ ส่วนสมาชิกก็ผูกพันต้องส่งเงินสงเคราะห์ให้แก่สมาคมตามระเบียบ การดังกล่าวนั้น เช่นนี้ ย่อมเข้าลักษณะเป็นสัญญาประกันชีวิต อันถือได้ว่ากิจการของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันดังกล่าวเป็นการรับประกันชีวิตโดยสมาคมกระทำการเป็นผู้รับประกันภัยการดำเนินกิจการดังกล่าวนี้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตจากรัฐมนตรี มิฉะนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 มาตรา 12, 74และเมื่อจำเลยกระทำการแนะนำชักชวนเพื่อให้บุคคลเข้าเป็นสมาชิกซึ่งก็เท่ากับเป็นการกระทำเพื่อให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิตกับสมาคมดังกล่าว ย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามมาตรา 72, 95

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้จัดการศูนย์ประจำจังหวัดร้อยเอ็ดของบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ดำเนินการจัดหาสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ให้แก่สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันได้ร่วมสมคบกับพวกที่หลบหนีชักชวนแนะนำให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับผู้ที่มิได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิต ตามพระราชบัญญัติประกันชีวิตพ.ศ. ๒๕๑๐ โดยชักชวนและแนะนำบุคคลให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน ซึ่งบริษัทนฤมิตธนาคมจำกัด เป็นตัวแทนผู้ดำเนินการจัดหาสมาชิก ทั้งนี้ โดยจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่าสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันและบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัดเป็นผู้ที่มิได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการตามกฎหมาย เป็นเหตุให้บุคคลจำนวนมากสมัครเข้าเป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์กับสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันตามคำชักชวนและแนะนำของจำเลยกับพวกดังกล่าวแล้ว ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๒, ๙๕ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๗๒, ๙๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ลงโทษจำคุกจำเลย ๑ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขัง มีกำหนด ๑ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่จำเลยชักชวนแนะนำให้บุคคลเข้าเป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน และสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันรับบุคคลนั้นเข้าเป็นสมาชิกนั้น ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาประกันชีวิต จำเลยจึงไม่มีความผิด พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบว่า สมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันโดยบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัด เป็นตัวแทน ได้ดำเนินกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ทั่วประเทศไทย โดยมิได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๑๐ มีสมาชิกประมาณสามหมื่นคน จำเลยเป็นผู้ตรวจการของบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัดประจำศูนย์จังหวัดร้อยเอ็ดซึ่งมีตัวแทนประจำตำบล เพื่อหาสมาชิกมาสมัครที่ศูนย์ ๓๐ คน
บริษัทนฤมิตธนาคมจำกัดออกหนังสือโฆษณาชักชวนประชาชนให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกฌาปนกิจสงเคราะห์ซึ่งมีระเบียบการในหนังสือโฆษณาชักชวนอันเป็นหลักสำคัญ คือ
๑. จัดสมาชิกเป็นกลุ่ม ๆ หนึ่ง ๆ มีจำนวนไม่เกิน ๕,๐๐๐ คน
๒. การเข้าเป็นสมาชิกต้องชำระค่าสมัคร ๒๐ บาท ค่าบำรุง ๖๔ บาทค่าใช้จ่ายของบริษัท ๙๙๘ บาท เงินฝากช่วยฌาปนกิจสมาชิกอื่น ๒๘๘ บาทรวม ๑,๓๗๐ บาท แต่จะผ่อนส่ง ๓ เดือน รวม ๘ ครั้ง ๖ เดือน รวม ๔ ครั้ง๑๒ เดือน รวม ๒ ครั้งก็ได้ โดยต้องชำระค่าใช้จ่ายของบริษัทเพิ่มขึ้นอีก คือผ่อนส่ง ๓ เดือน รวมเป็นเงิน ๑,๑๒๐ บาท ผ่อนส่ง ๖ เดือน รวมเป็นเงิน๑,๐๙๖ บาท ผ่อนส่ง ๑๒ เดือน รวมเป็นเงิน ๑,๐๐๔ บาท เมื่อเงินที่ฝากถูกหักช่วยสมาชิกที่ถึงแก่กรรมลดน้อยลงจนต่ำกว่า ๑๔๐ บาท จะเรียกให้ฝากครบ๑๔๐ บาทอยู่เสมอเมื่อรับเข้าเป็นสมาชิกแล้ว จะออกหนังสือสำคัญให้เป็นหลักฐานยึดถือไว้
๓. สมาชิกมีสิทธิจะได้รับเงินสงเคราะห์ฌาปนกิจเมื่อถึงแก่กรรมต่อเมื่อมีอายุการเป็นสมาชิกครบกำหนดดังนี้
ก. ผู้มีอายุไม่เกิน ๖๐ ปี ต้องเป็นสมาชิกครบ ๖ เดือนบริบูรณ์
ข. ผู้มีอายุ ๖๐ ปีถึง ๘๐ ปี ต้องเป็นสมาชิกครบ ๑ ปีบริบูรณ์
ค. ผู้มีอายุเกิน ๘๐ ปีถึง ๙๐ ปี ต้องเป็นสมาชิกครบ ๒ ปีบริบูรณ์
๔. ทายาทของสมาชิกที่ถึงแก่กรรมจะได้รับเงินช่วยสงเคราะห์ฌาปนกิจดังนี้
ก. สมาชิกอายุ ๒๐ ปีถึง ๖๐ ปี เป็นสมาชิกครบ ๖ เดือน ได้รับ ๕,๐๐๐ บาท ครบ ๒ ปี ได้รับ ๑๐,๐๐๐ บาท ครบ ๕ ปีได้รับ ๑๕,๐๐๐ บาทครบ ๑๐ ปี ได้รับ ๒๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ โดยหักเงินฝากช่วยของสมาชิกในกลุ่มเดียวกันคนละ ๑ บาท ๒ บาท ๓ บาท ๔ บาทตามลำดับ
ข. สมาชิกอายุเกิน ๖๐ ปีถึง ๘๐ ปี เป็นสมาชิกครบ ๑ ปี ได้รับ ๕,๐๐๐ บาท ครบ ๒ ปี ได้รับ ๑๐,๐๐๐ บาท ครบ ๕ ปี ได้รับ ๑๕,๐๐๐ บาทครบ ๑๐ ปี ได้รับ ๒๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ โดยหักจากเงินฝากช่วยของสมาชิกในกลุ่มเดียวกันคนละ ๑ บาท ๒ บาท ๓ บาท ๔ บาท ตามลำดับ
ค. สมาชิกอายุเกิน ๘๐ ปีถึง ๙๐ ปี เป็นสมาชิกครบ ๒ ปี ได้รับ๑๐,๐๐๐ บาท ครบ ๕ ปี ได้รับ ๑๕,๐๐๐ บาท ครบ ๑๐ ปี ได้รับ ๒๐,๐๐๐ บาททั้งนี้ โดยหักจากเงินฝากช่วยของสมาชิกในกลุ่มเดียวกันคนละ ๒ บาท๓ บาท ๔ บาทตามลำดับ
ศาลฎีกาเห็นว่า ระเบียบและวิธีการในกิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตัน มีข้อตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่ผู้รับประโยชน์ในเหตุการณ์อันเป็นความมรณะในอนาคตของผู้เป็นสมาชิกโดยสมาคมจะจ่ายเงินสงเคราะห์ตามเงื่อนไขที่ต้องมีอายุสมาชิกขั้นต่ำดังที่กำหนดไว้ และจำนวนเงินสงเคราะห์จะมีจำนวนสูงขึ้นตามลำดับตามระยะเวลาของอายุความเป็นสมาชิกของผู้นั้นเมื่อถึงแก่กรรมดังปรากฏรายละเอียดในเอกสาร จ.๑ ดังกล่าว ส่วนสมาชิกก็ผูกพันที่จะต้องส่งเงินสงเคราะห์ให้แก่สมาคมตามหลักฐานเอกสาร จ.๕ ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นเงินค่าตอบแทนข้อตกลงของสมาคมดังกล่าวข้างต้น ทั้งนี้โดยอาศัยเงื่อนไขความมรณะของบุคคลผู้เป็นสมาชิกนั่นเอง ไม่ว่าจะเรียกเงินทั้งสองประเภทนี้ว่าเป็นเงินสงเคราะห์และเงินฝากช่วยสงเคราะห์ฌาปนกิจ และใช้ชื่อกิจการนี้ว่ากิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ก็ตาม ก็เห็นได้แล้วว่าข้อตกลงเช่นนี้เข้าลักษณะเป็นสัญญาประกันชีวิตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๑ และมาตรา ๘๘๙ อันย่อมถือว่ากิจการฌาปนกิจสงเคราะห์ของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันเป็นการรับประกันชีวิตโดยสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันกระทำการเป็นผู้รับประกันภัยนั่นเอง ซึ่งการดำเนินกิจการดังกล่าวนี้ต้องได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจประกันชีวิตจากรัฐมนตรี มิฉะนั้นย่อมเป็นการฝ่าฝืนและมีโทษตามพระราชบัญญัติดังกล่าว
เมื่อถือว่าการประกอบธุรกิจของสมาคมพุทธศาสนิกชนวัดไผ่ตันโดยบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัด เป็นตัวแทนดำเนินงาน เป็นผู้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตกระทำการเป็นผู้รับประกันภัยโดยมิได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจดังกล่าว และข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทนฤมิตธนาคม จำกัดประจำศูนย์จังหวัดร้อยเอ็ด ได้ร่วมกับพวกทำการชักชวนแนะนำบุคคลให้เข้าเป็นสมาชิกสมาคม ซึ่งก็เท่ากับเป็นการกระทำเพื่อให้บุคคลทำสัญญาประกันชีวิตกับสมาคมดังกล่าว ซึ่งมิได้เป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต จำเลยจึงต้องมีความผิดตามฟ้องฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share