คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5975/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยบรรยายว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เป็นมารดาจำเลยที่ 2 และบรรยายถ้อยคำต่าง ๆ ที่จำเลยที่ 1 กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ในลักษณะให้เห็นเหตุประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินโฉนดพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้จำเลยที่ 1 โดยขายให้จำเลยที่ 2 เป็นการทำนิติกรรมที่มีเจตนาไม่สุจริตและฉ้อฉล โดยร่วมกันที่จะไม่ให้ทรัพย์สินตกกลับคืนเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองย่อมเข้าใจได้ว่า การไม่สุจริตและฉ้อฉลคือการที่จำเลยที่ 1 สมรู้กับจำเลยที่ 2 ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อมิให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณ จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะจำเลยที่ 1 ประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงรวม 3 ครั้ง ต่างวันเวลากัน จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่าไม่เคยประพฤติเนรคุณให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่โจทก์ ไม่เคยดูหมิ่นโจทก์อย่างร้ายแรง ย่อมหมายความว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงไม่ว่าจะเป็นวันเวลาใด ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในระหว่างการสืบพยานโจทก์แล้ว ในการนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองในเวลาต่อมาจำเลยที่ 1 เบิกความเพียงว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยด่าว่าหยาบคายแก่โจทก์ โดยมิได้เบิกความถึงวันเวลาที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงทั้ง 3 ครั้ง แสดงให้เห็นว่า วันเวลาในการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงมิได้เป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสอง แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องก็ตาม แต่การที่จะให้มีการแก้ไขในข้อนี้ย่อมไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป เพราะเป็นการมีคำสั่งให้แก้ไขในประเด็นที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในคดี ทั้งศาลล่างทั้งสองก็มิได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับวันเวลาที่มีการแก้ไขดังกล่าวมาเป็นประเด็นชี้ขาดพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้ถอนคืนการให้และบังคับจำเลยที่ ๑ โอนที่ดินที่จำเลยที่ ๑ มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๘๔ คืนแก่โจทก์ ให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๕๑๖ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ แล้วให้จำเลยที่ ๑ โอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๕๑๖ กลับคืนแก่โจทก์ ทั้งนี้ให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๕๑๖ กลับคืนเป็นของจำเลยที่ ๑ แล้วให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกลับคืนแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๘๘๔ กลับคืนแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปจดทะเบียนโอนให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อกฎหมายของจำเลยทั้งสองว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นมารดาของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ เป็นมารดาจำเลยที่ ๒ และบรรยายฟ้องเกี่ยวกับถ้อยคำต่าง ๆ ที่จำเลยที่ ๑ กล่าวหมิ่นประมาทโจทก์ในลักษณะให้เห็นเหตุประพฤติเนรคุณต่อโจทก์อย่างไรด้วย และว่า เมื่อประมาณเดือนเมษายน ๒๕๔๐ จึงทราบว่าจำเลยที่ ๑ ขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๙๕๑๖ พร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ยกให้จำเลยที่ ๑ โดยขายให้จำเลยที่ ๒ เป็นการทำนิติกรรมที่มีเจตนาไม่สุจริตและฉ้อฉล โดยร่วมกันที่จะไม่ให้ทรัพย์สินตกกลับคืนเป็นของโจทก์ ขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ศาลฎีกาเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่บรรยายว่าการทำนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีเจตนาไม่สุจริตและฉ้อฉลนั้น จำเลยทั้งสองย่อมสามารถเข้าใจฟ้องได้ว่าความหมายของการไม่สุจริตและฉ้อฉลคือการที่จำเลยที่ ๑ สมรู้กับจำเลยที่ ๒ ทำนิติกรรมโอนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเพื่อมิให้โจทก์เรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยที่ ๑ ประพฤติเนรคุณ จึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อมาว่า ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องฉบับลงวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ชอบหรือไม่ จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเกี่ยวกับวัน เวลา ที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ดูแลและหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้อง ทำให้จำเลยทั้งสองเสียเปรียบในการต่อสู้คดีเพราะเป็นการแก้ไขคำฟ้องในสาระสำคัญ และทำให้จำเลยทั้งสองไม่มีโอกาสบริบูรณ์ในอันที่จะตรวจโต้แย้งและหักล้างข้อต่อสู้ใหม่ของโจทก์ เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๑ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกถอนคืนการให้เพราะจำเลยที่ ๑ ประพฤติเนรคุณด้วยการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงรวม ๓ ครั้ง ต่างวันเวลากัน จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้คดีว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยประพฤติเนรคุณให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่โจทก์ ไม่เคยดูหมิ่นโจทก์อย่างร้ายแรงตามที่โจทก์กล่าวอ้างแต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์เป็นเท็จทั้งสิ้น คำให้การของจำเลยที่ ๑ ย่อมหมายความว่าจำเลยที่ ๑ ไม่เคยกล่าวคำหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องไม่ว่าจะเป็นวันเวลาใด ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้องในระหว่างการสืบพยานโจทก์แล้ว ในการนัดสืบพยานจำเลยทั้งสองในเวลาต่อมา จำเลยที่ ๑ เบิกความเพียงว่า จำเลยที่ ๑ ไม่เคยด่าว่าหยาบคายแก่โจทก์แต่อย่างใด โดยมิได้เบิกความถึงวันเวลาที่มีการกล่าวหาว่าจำเลยที่ ๑ หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงทั้ง ๓ ครั้ง ตามฟ้อง อันเป็นการแสดงให้เห็นด้วยว่า วันเวลาในการกล่าวถ้อยคำหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง มิได้เป็นสาระสำคัญในการต่อสู้คดีของจำเลยทั้งสองแต่อย่างใด จำเลยทั้งสองจึงไม่มีประเด็นที่จะต้องโต้แย้งหักล้างคำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับวัน เวลาที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องดังกล่าว แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งอนุญาตให้แก้ไขคำฟ้องตามคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์ โดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่จำเลยทั้งสองทราบล่วงหน้าอย่างน้อยสามวันก่อนกำหนดนัดพิจารณาคำร้องก็ตาม แต่การที่จะให้มีการแก้ไขในข้อนี้ย่อมไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปเพราะเป็นการมีคำสั่งให้แก้ไขในประเด็นที่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญในคดี ทั้งศาลล่างทั้งสอง ก็มิได้หยิบยกประเด็นเกี่ยวกับวัน เวลา ที่มีการแก้ไขดังกล่าวมาเป็นประเด็นชี้ขาดพิพากษาให้เพิกถอนคืนการให้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมานั้น ชอบแล้ว
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share