แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บังคับให้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้กู้ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ โดยมิได้บังคับผู้ให้กู้ต้องลงลายมือชื่อด้วย เมื่อจำเลยเป็นผู้เขียนหนังสือสัญญากู้เงิน และลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้แล้วย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้ แม้ลายมือชื่อผู้ให้กู้เป็นลายมือชื่อปลอม ก็หามีผลให้หลักฐานการฟ้องร้องบังคับแก่จำเลยได้ที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียไปไม่ สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิม (มาตรา 193/33 ใหม่)หมายถึงดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่ก่อนวันฟ้อง ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างชำระ โจทก์มีสิทธิได้ดอกเบี้ยเกิน 5 ปี โดยไม่มีกำหนดอายุความ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนางสายฮวย ทัพแสงเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2526 จำเลยทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินนางสายฮวยไป 50,000 บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี กำหนดชำระเงินคืนภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2526 ตามสำเนาหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารท้ายฟ้อง นับแต่จำเลยกู้ยืมเงินไปจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่นางสายฮวยเลย โจทก์ขอคิดดอกเบี้ยก่อนฟ้องเพียง 5 ปี เป็นเงิน 37,500 บาท รวมกับต้นเงินเป็น 87,500 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 87,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์หรือนางสายฮวย หนังสือสัญญากู้เงินที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมที่โจทก์เป็นผู้ทำขึ้นทั้งฉบับ หนังสือสัญญากู้เงินไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้แน่ชัดเป็นโมฆะขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 68,750 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน50,000 บาท นับจากวันฟ้อง (วันที่ 26 ตุลาคม 2533) ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง คดีมีปัญหาข้อกฎหมายตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมาว่า หนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับจำเลยผู้กู้ได้หรือไม่ และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คิดดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้นเป็นการชอบหรือไม่ ในการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยกู้ยืมเงินนางสายฮวยไปตามหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1จำเลยเป็นผู้เขียนหนังสือสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าว และลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้จริงเฉพาะลายมือชื่อผู้ให้กู้นั้นไม่ใช่ลายมือชื่อนางสายฮวย เป็นลายมือชื่อปลอมปัญหาว่าหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 เป็นหลักฐานฟ้องร้องบังคับจำเลยผู้กู้ได้หรือไม่เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่” เห็นได้ว่ากฎหมายบังคับให้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อผู้กู้ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้โดยมิได้บังคับผู้ให้กู้ต้องลงลายมือชื่อด้วยดังนั้นเมื่อจำเลยเป็นผู้เขียนหนังสือสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 และลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้แล้ว ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น แม้ลายมือชื่อผู้ให้กู้ไม่ใช่ลายมือชื่อนางสายฮวยเป็นลายมือชื่อปลอม ก็หามีผลให้หลักฐานการฟ้องร้องบังคับแก่จำเลยได้ที่สมบูรณ์อยู่แล้วเสียไปไม่
ปัญหาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 คิดดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จชอบหรือไม่ที่จำเลยฎีกาว่า เป็นการขยายอายุความคิดดอกเบี้ยซึ่งมีกำหนด5 ปี ต่อไปอีกนั้น เห็นว่า สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยซึ่งมีกำหนดอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิม(มาตรา 193/33 ใหม่) นั้น หมายถึงดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่ก่อนวันฟ้องส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ไม่ใช่ดอกเบี้ยค้างชำระ จะใช้มาตรา 166 เดิม (มาตรา 193/33 ใหม่) บังคับไม่ได้ ถ้าการพิจารณาคดียืดเยื้อโจทก์ย่อมมีสิทธิได้ดอกเบี้ยเกิน5 ปี โดยไม่มีกำหนดอายุความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน