คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5963/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองได้มาในฐานะเป็นผู้ชนะคดีตามคำพิพากษาอันถึงที่สุด และข้อตกลงในชั้นบังคับคดีระหว่างโจทก์ทั้งสองกับผู้แพ้คดีนั้นเป็นการได้สิทธิโดยผลของคำพิพากษา จึงแตกต่างกับสิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองได้มาโดยทางมรดกในฐานะที่เป็นทายาท ซึ่งถือว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินแทนที่เจ้ามรดก แม้การได้สิทธิในที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาโจทก์ทั้งสองจะอ้างว่าเป็นทายาทของเจ้ามรดกก็หาใช่การได้มาซึ่ง สิทธิในที่ดินโดยทางมรดกโดยทั่วไปอันจะต้องดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามลำดับขั้นตอนตาม ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 81 ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ 24 (พ.ศ. 2516) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 และระเบียบของกรมที่ดินว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก พ.ศ. 2516 ให้เสร็จสิ้นเสียชั้นหนึ่งก่อนไม่ โจทก์ทั้งสองชอบที่จะขอจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมได้ทันที
แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องจะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็เห็นสมควรไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งร่วมกับนายปรีชาโดยผลของคำพิพากษาศาลอันถึงที่สุด และข้อตกลงในชั้นบังคับคดี โดยนายปรีชายอมยกที่ดินส่วนทางด้านทิศใต้ให้เป็นของโจทก์ทั้งสอง จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด และจำเลยที่ ๓ เป็นหัวหน้าฝ่ายทะเบียนสำนักงานที่ดินซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในบังคับบัญชาของจำเลยที่ ๑ ไม่ยอมจัดการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ให้ตามที่โจทก์ทั้งสองขอให้จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จัดการให้เป็นไปตามคำพิพากษาและข้อตกลงในชั้นบังคับคดีดังกล่าว จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามแบ่งแยกที่ดินออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน และจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมลงชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของร่วมกันในส่วนทางด้านทิศใต้
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ทั้งสองยังมิได้มีการรับมรดกให้เรียบร้อยตามกฎกระทรวงมหาดไทย ฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ลงวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖ ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้ออกระเบียบว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก พ.ศ. ๒๕๑๖ การที่โจทก์ทั้งสองมาฟ้องขอให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมเป็นกรณียังมิได้มีข้อพิพาทในการโต้แย้งสิทธิกับจำเลยทั้งสามไม่มีเหตุที่จะต้องใช้สิทธิทางศาล ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยทั้งสามจำต้องปฏิบัติตามกฎหมายและรเบียบให้ถูกต้อง จำเลยที่ ๓ เพิ่งย้ายมารับราชการที่สำนักงานที่ดินดังกล่าว หลังจากโจทก์ทั้งสองยื่นเรื่องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไม่เคยพิจารณาเรื่องดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ดำเนินการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน แล้วจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนเจ้ามรดกในส่วนทางวด้านทิศใต้เพื่อให้ เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและมิได้โต้เถียงในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ เป็นบุตรและภริยาของนายมานพ ชัยเจริญที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๗๙ ตำบลดอนมะตอบอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ ๙๒ ไร่ ๒๘ ตารางวามีชื่อนายมานพและนายปรีชาถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน นายมานพถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ ต่อมาวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๒๒ โจทก์ทั้งสองได้ยื่นฟ้องนายปรีชาต่อศาลจังหวัดราชบุรีขอให้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งทางด้านทิศใต้แก่โจทก์ทั้ง สอง นายปรีชาต่อสู้อ้างว่าที่ดินทั้งโฉนดตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนโดยการครอบครองปรปักษ์ศาลจังหวัดราชบุรีวินิจฉัยว่า กรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของนายมานพไม่ตกเป็นของนายปรีชา โจทก์ท้งสองเป็นทายาทย่อมมีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาทส่วนของนายมานพพิพากษาให้โจทก์กับนายปรีชาจัดการแบ่ง แยกที่ดินพิพาทออกเป้นสองส่วน ๆ ละ ๔๖ ไร่ ๑๔ ตารางวา โดยให้โจทก์ทั้งสองได้ส่วนหนึ่ง หากไม่อาจตกลงกันได้ ให้ประมูลที่ดินระหว่างกันหรือนาที่ดินออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันแล้วแต่กรณีถ้านายปรีชาไม่ไปจด ทะเบียนแบ่งแยกให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของนายปรีชานายปรีชาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า นายปรีชาได้ยกที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งจำนวน ๒ ไร่ ให้แก่ทางราชการเพื่อตัดถนนแล้ว ฉะนั้นการแบ่งส่วนที่ดินพิพาทจึงชอบที่จะตัดส่วนที่ดิน ๒ ไร่ ที่ยกให้แก่ทางราชการออกเสียก่อน พิพากษาแก้เป็นว่าให้โจทก์กับนายปรีชาแบ่งแยกที่ดินพิพาทออกเป็นสองส่วนโดยตัดส่วนที่ยกให้แก่ทางราชการเพื่อ ตัดถนนจำนวน ๒ ไร่ ออกเสียก่อน ให้โจทก์ทั้งสองได้ส่วนหนึ่ง คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืน ต่อมาในชั้นบังคับคดี นายปรีชาตกลงยอมแบล่งที่ดินตามคำพิพากษาของศาลให้โจทก์ทั้งสองได้ที่ดินส่วนทางด้านทิศใต้ แต่เมื่อโจทก์ทั้งสองนำคำพิพากษาและข้อตกลงดังกล่าวไปขอให้ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีแบ่งแยกโฉนดและ จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดิน ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีไม่ดำเนินการให้ อ้างว่าโจทก์ทั้งสองได้มาซึ่งที่ดินส่วนของนายมานพทางมรดก จะต้องจดทะเบียนรับมรดกของนายมานพเสียชั้นหนึ่งก่อนจากนั้นจึงจะดำเนินการแบ่งแยกโฉนดในฐานะเจ้าของ รวมได้ โจทก์ที่ ๒ จึงไม่ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดราชบุรีขอให้มีคำสั่งตั้งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้จัดการมรดกของนายมานพเพื่อจะนำคำสั่งของศาลมาดำเนินการจดทะเบียนรับมรดกที่ดินส่วนของนายมานพ แต่ศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งยกคำร้องอ้างว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๖๗๙ ในส่วนของนายมานพตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองแล้ว ไม่เป็นทรัพย์มรดกที่จะต้องมีการจัดการอีกต่อไปหลังจากนั้นโจทก์ทั้งสองได้ขอให้มีการแบ่งแยกโฉนดที่ดินให้เป็น ไปตามคำพิพากษาและข้อตกลงในชั้นบังคับคดีอีกครั้งหนึ่งแต่ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรีไม่ดำเนินการให้คดีมี ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ในประการแรกว่า โจทก์ทั้งสองได้มาซึ่งที่ดินในส่วนของนายมานพโดยทางมรดกจะต้องจดทะเบียนรับโอนมรดกตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๘๑ ประกอบด้วยกฎกระทรวงฉบับที่ ๒๔ (พ.ศ. ๒๕๑๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และระเบียบของกรมที่ดินว่าด้วยการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้มาโดยทางมรดก พ.ศ. ๒๕๑๖ ให้เสร็จสิ้นเสียชั้นหนึ่งก่อนจากนั้นจึงจะจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมได้ต่อไปหรือไม่เห็นว่า สิทธิในที่ดินพิพาทที่โจทก์ทั้งสองได้มาในฐานะเป็นผู้ชนะคดีตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดและข้อตกลงในชั้นบังคับคดี ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับนายปรีชาผู้แพ้คดีนั้น เป็นการได้สิทธิโดยผลของคำพิพากษาอันแตกต่างกับสิทธิในที่ดินที่โจทก์ทั้งสองได้มาโดยทางมรดกในฐานะที่เป็น ทายาทของนายมานพ ซึ่งถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของที่ดินแทนที่นายมานพเจ้ามรดก แม้การได้สิทธิในที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษา โจทก์ทั้งสองจะอ้างว่าเป็นทายาทของนายมานพ ก็หาใช่เป็นการได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินโดยทางมรดกโดยทั่วไปอันจะต้องดำเนินการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตาม ลำดับขั้นตอนตามกฎหมายกฎกระทรวงและระเบียบของกรมที่ดินดังที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฎีกาขึ้นมาไม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ฎีกาในประการต่อมาว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๔๒/๒๕๒๕ ไม่ผูกพันจำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ จำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี ผู้มีอำนาจหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโดยตรง ขณะโจทก์ยื่นคำร้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม จำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้บังคับบัญชาและจำเลยที่ ๓ ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมพ้นจากความรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๗๖ นั้นเห็นว่าข้อกฎหมายดังกล่าวจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้จะเป็นปัญหาในเรื่องอำนาจฟ้องอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาก็เห็นสมควรไม่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share