แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้เมื่อบิดาโจทก์ตาย โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยโดยสืบสิทธิจากบิดาติดต่อกันมาประมาณ 40 ปี แต่เมื่อโจทก์เพียงแต่ล้อมรั้วบ้านเพื่อป้องกันขโมย มิได้ล้อมเพื่อแบ่งเขตที่ดิน และโจทก์ไม่เคยแจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่เลย การกระทำของโจทก์จึงเท่ากับว่าโจทก์มิได้แสดงตนเป็นปรปักษ์ต่อการครอบครองของจำเลยแต่การที่โจทก์มอบให้บุตรสาวไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเรื่องจำเลยปลูกต้นกล้วย ในที่ดินที่โจทก์ครอบครอง ถือได้ว่าโจทก์มีเจตนาที่จะเปลี่ยนลักษณะการครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแล้ว.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามมีชื่อในโฉนดที่ดินเลขที่ 2437ตำบลดอนทราย อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน72 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 2437 บางส่วนเนื้อที่ประมาณ 3 งานเศษภายในเส้นสีแดงทางด้านทิศตะวันตกตอนใต้ของแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 เป็นที่ดินที่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์เป็นสัดส่วนต่างหากจากนายบู่บิดาจำเลยและจำเลยทั้งสาม โดยโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยและใช้ทำลานนวดข้าวนานติดต่อกันเป็นเวลา 40 ปีเศษโดยความสงบโดยเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านจนทุกวันนี้เป็นเวลาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ที่ดินโฉนดดังกล่าวเฉพาะส่วนภายในเส้นสีแดงของแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองตามกฎหมาย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 2437 ตำบลดอนทราย อำเภอโพธารามจังหวัดราชบุรี เฉพาะส่วนด้านทิศตะวันตกตอนใต้เนื้อที่ประมาณ 3 งานภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนของโจทก์ให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวเพื่อทำการแบ่งแยกให้แก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสามร่วมกันไปให้ความยินยอมแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี หากจำเลยทั้งสามไม่ยอมก็ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยแสดงเจตนาว่าเป็นเจ้าของที่ดินที่ปลูกบ้านหรือที่ดินที่ทำลานนวดข้าว ที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้อง มิได้ตกเป็นของโจทก์โดยการครอบครอง โจทก์เข้าอยู่ในฐานะผู้อาศัยและปลูกบ้านล้อมรั้วในที่ดินเนื้อที่ประมาณ 50 ตารางวา ส่วนที่ดินที่ทำลานนวดข้าวอยู่คนละฝั่งกับบ้านโจทก์ และอาศัยนวดข้าวบางปีมีเนื้อที่ประมาณ 25 ตารางวาเท่านั้น โจทก์เข้านวดข้าวในที่ดินดังกล่าวในฐานะผู้อาศัย ที่ดินที่โจทก์อาศัยนวดข้าวเป็นที่ว่างระหว่างต้นไม้ โจทก์ไม่เคยแสดงเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินที่ปลูกบ้านและที่ดินที่ทำลานนวดข้าวมาก่อน นายบู่ร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยทั้งสาม โจทก์และผู้อาศัยอื่นทราบดีทุกคน โจทก์นำความเท็จมาฟ้องจำเลย จำเลยจึงบอกกล่าวให้โจทก์รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่ดินจำเลย โจทก์ไม่ยินยอมจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ให้โจทก์และบริวารรื้อถอนบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของจำเลยห้ามโจทก์เกี่ยวข้อง และบังคับให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยเดือนละ200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์จะออกจากที่ดินของจำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่ได้เข้าอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2437 ในฐานะผู้อาศัยจำเลยทั้งสาม โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวในฐานะเจ้าของผู้ครอบครองเพื่อตนตลอดมาโดยครอบครองสืบต่อมาจากปู่ ย่า และบิดามารดาของโจทก์จนบัดนี้ใช้เป็นที่ปลูกบ้านและทำลานนวดข้าวพร้อมปลูกพืชผักผลไม้เป็นเนื้อที่ประมาณ 3 งาน ไม่ใช่เพียง 75 ตารางวา หากให้เช่าที่ดินพิพาทจะได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 50 บาท เพราะเป็นที่ดินใช้สำหรับปลูกบ้านอยู่อาศัยมิใช่สำหรับทำการค้า
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทได้ตกเป็นของโจทก์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ห้ามจำเลยทั้งสามเข้าไปเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสามส่งมอบโฉนดเลขที่ 2437 ตำบลดอนทรายอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี แล้วร่วมกันไปให้ความยินยอมในการแบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสาม
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยทั้งสาม ให้โจทก์และบริวารรื้อถอนบ้านเรือนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท ห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยทั้งสามปีละ 100 บาทนับตั้งแต่วันฟ้อง (วันที่ 26 ตุลาคม 2527) เป็นต้นไปจนกว่าจะออกจากที่พิพาท ให้ยกฟ้องของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 3 งาน ใช้เป็นสิ่งปลูกบ้านของโจทก์และลานนวดข้าวซึ่งอยู่ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2437 ตำบลดอนทราย อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีปรากฏตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเอกสารหมาย ล.1 เดิมที่ดินทั้งแปลงเป็นของนายเค ต่อมาที่ดินดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายบู่ล้ำเลิศ โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ปรากฏตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 191/2517 ของศาลชั้นต้นนายบู่ยกให้จำเลยทั้งสามตามสารบัญจดทะเบียนโฉนดที่ดินเอกสารหมาย ล.1 มีบ้านปลูกอยู่ในที่ดินดังกล่าวหลายหลังแต่ได้รื้อถอนออกไปแล้ว คงเหลือบ้านของนายบู่ซึ่งตกเป็นของจำเลยที่ 3 อยู่ทางทิศตะวันออก ด้านทิศตะวันตกของบ้านจำเลยที่ 3 เป็นบ้านของนายสมพร ด้านทิศใต้ของบ้านจำเลยที่ 3 เป็นบ้านของนายโคก ส่วนบ้านของโจทก์อยู่ภายในเส้นสีแดงทึบ หมายเลข 1 มีเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 10 ตารางวา ลานนวดข้าวและพื้นที่ปลูกพืชผักต่าง ๆอยู่ภายในเส้นสีแดงทึบหมายเลข 2 ปรากฏตามแผนที่พิพาท โจทก์ได้ครอบครองที่ดินพิพาทติดต่อกันประมาณ 40 ปีแล้ว มีปัญาต้องวินิจฉัยตามฎีกา โจทก์ว่าโจทก์ได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการครอบครองที่ดินพิพาทมาแล้วเป็นการครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแล้วหรือไม่… พยานโจทก์มีน้ำหนักน้อยนอกจากนี้มีพฤติการณ์อื่นที่โจทก์นำสืบว่า บิดาโจทก์อยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิของนายเนค ผู้เป็นเจ้าของ เมื่อบิดาโจทก์ตายโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยสืบสิทธิจากบิดาติดต่อกันมาประมาณ 40 ปี โดยโจทก์กั้นรั้วล้อมรอบบ้านตามรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลเดินเผชิญสืบลงวันที่ 25 มีนาคม 2528 ซึ่งโจทก์ก็เบิกความว่าโจทก์ล้อมรั้วบ้านเพื่อป้องกันขโมย แสดงว่าโจทก์ไม่ได้ล้อมเพื่อแบ่งเขตที่ดิน และโจทก์ไม่ได้แจ้งเสียภาษีบำรุงท้องที่ แสดงว่าโจทก์ไม่ได้แสดงตนเป็นปรปักษ์ต่อการครอบครองของจำเลย คดีนี้โจทก์มีหน้าที่นำสืบว่าโจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของแต่ตามทางนำสืบของโจทก์เพิ่งปรากฏว่าโจทก์กระทำการโต้แย้งสิทธิของจำเลยทั้งสามโดยชัดแจ้งเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2527 ด้วยการที่โจทก์มอบให้บุตรสาวไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเรื่องจำเลยปลูกต้นกล้วยในที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามเอกสารหมาย จ.10 หรือ ล.19 และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2527 แม้จะเป็นการแสดงว่าโจทก์มีเจตนาที่จะเปลี่ยนลักษณะการครอบครองที่ดินพิพาทอย่างเป็นเจ้าของ แต่ก็หามีผลทำให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทไม่เพราะยังไม่ครบ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ที่ดินพิพาทจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสาม ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.