แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หากมีผู้ร้องสอดซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเอาไปขายฝากโจทก์และไม่ไถ่ภายในเวลาที่กำหนดแล้ว ที่พิพาททั้งแปลงย่อมหลุดตกเป็นสิทธิแก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๐๒ จำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินบ้าสนไม่มีโฉนดอยู่อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน แก่โจทก์เป็นเงิน ๑๘,๖๐๐ บาท กำหนดอายุขายฝาก ๑ ปี ถึงกำหนดจำเลยไม่ไถ่ ที่ดินจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ๆ ไปขอออกโฉนดเป็นชื่อโจทก์ จำเลยขออาศัยอยู่อีก ๑ เดือน ครั้นครบกำหนดก็ไม่ออก ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยกับนางฟองจันทร์ บุตรของจำเลยได้รับมรดกที่ดินแปลงนี้จากนายอูบสามีจำเลย จึงมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ต่อมาจำเลยกู้เงินโจทก์ ๆ ออกอุบายให้จำเลยจำนองที่แปลงนี้แก่โจทก์ แต่ต่อมากลายเป็นสัญญาขายฝาก จึงเป็นโมฆะ แม้จะฟังว่าสัญญาขายฝากใช้ได้ จำเลยก็มีสิทธิอยู่ในที่ดินแปลงนี้ เพราะนางฟองจันทร์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินครึ่งหนึ่ง โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยไม่ได้
นางฟ้องจันทร์ร้องสอดว่า ที่พิพาทเป็นของผู้ร้องกับจำเลยคนละครึ่ง จำเลยเอาที่ดินพิพาทประกันเงินกู้โจทก์ก็เพียงครึ่งหนึ่งอันเป็นส่วนของจำเลย ไม่ผูกพันส่วนของผู้ร้อง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สัญญาขายฝากที่จำเลยทำนั้นสมบูรณ์ตามกฎหมาย แต่สมบูรณ์เฉพาะที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยที่ขายฝากโจทก์ ไม่รวมถึงที่ดินที่เป็นส่วนของผู้ร้อง เพราะผู้ร้องไม่ได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ เมื่อผู้ร้องมีส่วนเป็นเจ้าของในที่พิพาทและที่พิพาทยังมิได้แบ่งเป็นส่วนสัดระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง ยังไม่ทราบว่าที่พิพาทส่วนใดจะตกเป็นของโจทก์ตามสัญญาขายฝาก จำเลยและผู้ร้องจึงยังมีสิทธิอาศัยอยู่ในที่พิพาทได้ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้ร้องซึ่งมีส่วนเป็นเจ้าของที่พิพาทยินยอมให้จำเลยเอาที่พิพาทไปทำสัญญาขายฝาก ผู้ร้องจึงต้องรับผิด ขอให้พิพากษากลับ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ผู้ร้องยินยอมด้วยในการที่จำเลยขายฝากที่พิพาทให้โจทก์ เมื่อครบกำหนดไม่ไถ่ ก็ต้องตกเป็นของโจทก์ ผู้ร้องและจำเลยอยู่โดยไม่มีสิทธิจะอ้างได้ตามกฎหมายพิพากษากลับให้ขับไล่จำเลยและผู้ร้องกับบริวารออกจากที่พิพาท
นางฟองจันทร์ผู้เดียวฎีกาว่า จำเลยไม่มีสิทธิเอาส่วนของผู้ร้องไปขายฝากโจทก์
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องแรกว่า ที่พิพาทเดิมเป็นของนายอูบ จำเลยเป็นภริยานายอูบ นางฟองจันทร์ผู้ร้องเป็นบุตรจำเลยและนายอูบ นายอูบถึงแก่กรรมไปแล้ว ทรัพย์พิพาทจึงตกแก่จำเลยและผู้ร้อง มีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ปัญหาจึงอยู่ที่ว่า การที่จำเลยมารดาของผู้ร้องเอาที่พิพาทไปขายฝากโจทก์นั้น ผู้ร้องรู้เห็นยินยอมหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามที่ผู้ร้องอ้างว่าไม่รู้เห็นด้วยกับการขายฝากที่พิพาทนั้นไม่น่าเชื่อ เพราะโจทก์มีนายสิงห์ทองพนักงานที่ดินอำเภอเมืองลำพูนเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ในวันที่จำเลยไปขอให้พยานทำสัญญาขายฝากที่ดินผู้ร้องก็อยู่ด้วยและได้ให้ความยินยอม ยิ่งกว่านั้นเมื่อพิเคราะห์เอกสาร จ.๗ (สัญญาขายฝากที่โจทก์จำเลยและผู้ร้องทำกันเอง) ซึ่งผู้ร้องก็รับอยู่ว่าได้ลงชื่อไว้ให้โจทก์ที่บ้านโจทก์ ก็ได้ความชัดว่าผู้ร้องได้รู้เห็นในการขายฝากรายนี้มาตั้งแต่ต้นก่อนที่จะทำสัญญากันที่อำเภอแล้ว ดังนั้นการที่ผู้ร้องมาอ้างว่าไม่ได้รู้เห็นในการขายฝากที่พิพาทจึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ หาได้มีพยานหลักฐานใดมาหักล้างพยานหลักฐานฝ่ายโจทก์ไม่
ในฐานะที่ผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมในที่พิพาทรู้เห็นยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเอาไปทำการขายฝากไว้และปล่อยให้หลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์แล้ว ที่พิพาทก็ตกเป็นของโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่ได้ ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน