แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยปลูกโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยมิได้ปลูกโรงเรือนรุกล้ำ หากจำเลยปลูกโรงเรือนรุกล้ำไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 และหากที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว ดังนี้เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินและขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 33897เลขที่ดิน 1791 จังหวัดกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 18 ตารางวาเศษ เมื่อปี 2538โจทก์ทราบว่า จำเลยปลูกโรงเรือน (โรงเก็บเรือ) ของสถานีตำรวจนครบาลจรเข้น้อยรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือประมาณ 9 ตารางวาโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยพร้อมบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นเจ้าของโรงเรือน โรงเรือนดังกล่าวไม่ได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ และโจทก์มิได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน หากจำเลยปลูกโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์โดยสุจริต กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 หากฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนที่ปลูกสร้างโรงเรือนโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเวลานานกว่าสิบปีแล้ว จำเลยย่อมได้สิทธิในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ตามฟ้องให้จำเลยรื้อถอนโรงเก็บเรือพิพาทตามฟ้องออกไปจากที่ดินของโจทก์ด้วย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาเพียงข้อเดียวว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์แล้วนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จำเลยปลูกโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์แต่เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินจำเลยมิได้ปลูกโรงเรือนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ หากจำเลยปลูกโรงเรือนรุกล้ำไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต กรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 และหากที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว เป็นคำให้การไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน และขัดแย้งกันเองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าวจึงไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกฎีกาจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาแก่จำเลย