คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5957/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มารดาโจทก์จำเลยถึงแก่ความตายเมื่อปี พ.ศ. 2520 หลังจากมารดาถึงแก่ความตายไปได้ประมาณ 5 เดือน โจทก์ได้บอกจำเลยว่า มารดาทำพินัยกรรมยกที่พิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 27 ให้โจทก์ ให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไป จำเลยโต้แย้งว่ามารดายกที่ดินให้จำเลยแล้วจำเลยไม่ยอมมอบที่ดินให้โจทก์ ถือว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์นับแต่วันนั้น โจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน2527 เป็นเวลาเกิน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะเรียกเอาคืนการครอบครอง.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดิน ส.ค.๑ เลขที่ ๒๗ หมู่ที่ ๑ ตำบลนางบวช อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นของนางวาส นาคเถื่อน ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์และจำเลย จำเลยได้รับอนุญาตจากนางวาสให้ปลูกบ้านอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวนางวาสทำพินัยกรรมยกที่ดินแปลงนี้ให้แก่โจทก์ เมื่อนางวาสถึงแก่ความตายโจทก์ได้ครอบครองที่ดินและเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อฤดูกาลทำนาปีพ.ศ. ๒๕๒๗ จำเลยได้เข้าแย่งทำนาในที่ดินแปลงดังกล่าวของโจทก์เมื่อโจทก์ไปยื่นคำขอหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยก็ได้คัดค้านการกระทำของจำเลยเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค. ๑เลขที่ ๒๗ และให้จำเลยรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า นางวาสได้ยกที่ดินแปลงนี้และมอบการครอบครองให้แก่จำเลยเมื่อประมาณ ๑๐ ปีมาแล้ว นางวาสจึงไม่มีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินของจำเลยให้โจทก์ พินัยกรรมปลอมโจทก์ฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งที่พิพาทเกิน ๑ ปี ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง และพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้ออีกต่อไป
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นางวาสไม่เคยยกที่พิพาทและมอบการครอบครองให้แก่จำเลย จำเลยเข้ามาปลูกบ้านในฐานะผู้อาศัยนางวาสและโจทก์ พินัยกรรมที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นพินัยกรรมที่แท้จริง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๒๗ เป็นของจำเลยโดยจำเลยมีสิทธิครอบครอง ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกต่อไป ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เบิกความว่า จำเลยบุกรุกที่พิพาทในปี พ.ศ.๒๕๒๗ แน่นายแอ๋ว มะนาวหวานสามีของโจทก์เองเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่านางวาสมารดาโจทก์จำเลยถึงแก่ความตายเมื่อปีพ.ศ. ๒๕๒๐ หลังจากนางวาสถึงแก่ความตายไปได้ประมาณ ๔-๕ เดือนโจทก์นำพินัยกรรมซึ่งนางวาสยกที่พิพาทให้โจทก์มาให้พยานดู ต่อมาอีกประมาณ ๒ วัน โจทก์เรียกจำเลยมาแจ้งให้ทราบเรื่องและบอกไม่ให้จำเลยอยู่ในที่พิพาทให้รื้อถอนบ้านออกไป จำเลยไม่ยอมรื้อถอนบ้านออกไป จำเลยไม่ยอมรื้ออ้างว่าจำเลยครอบครองที่ดินแปลงนี้มาคำนายแอ๋วนี้เจือสมกับที่จำเลยนำสืบว่า หลังจากนางวาสถึงแก่ความตายไปได้ประมาณ ๕ เดือน โจทก์ได้ไปบอกจำเลยว่านางวาสทำพินัยกรรมยกที่พิพาทให้โจทก์จำเลยโต้แย้งว่านางวาสยกที่ดินให้จำเลยแล้วจำเลยไม่ยอมมอบที่ดินให้โจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองที่พิพาทจากโจทก์นับแต่วันนั้น โจทก์เพิ่งฟ้องคดีเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๗ เป็นระยะเวลาเกิน ๑ ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ วรรคสอง โจทก์จึงหมดสิทธิที่จะเรียกเอาคืนการครอบครอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยโดยจำเลยมีสิทธิครอบครองนั้นชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share