แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์กับ ส. เป็นสามีภริยากันอยู่ตามกฎหมายลักษณะผัวเมียครั้นเมื่อส. ตายกระทรวงกลาโหมก็จ่ายบำนาญตกทอดให้แก่โจทก์ตลอดมาต่อมาจำเลยไปคัดค้าน กระทรวงกลาโหมจึงงดจ่ายปรากฏว่า ก่อนส.ตาย ส. ได้สมรสกับจำเลยโดยจดทะเบียนสมรสการจดทะเบียนสมรสเช่นนี้ย่อมเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3),1490 โจทก์จึงฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนทะเบียนสมรสนั้นเสียได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2477 โจทก์กับพันจ่าโทสิงห์ ทองคำได้อยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยเปิดเผยและอยู่กินกันฉันสามีภริยาตลอดมา จนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2496 พันจ่าโทสิงห์ได้ไปปฏิบัติราชการสงคราม ณ เกาหลีและถึงแก่กรรม ปรากฏตามทะเบียนสมรสอำเภอพระโขนง เลขที่ 25/3665 ลงวันที่ 23 มกราคม 2496 ว่า จำเลยกับพันจ่าโทสิงห์ได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ว่าไม่มีคู่สมรสอื่น ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้นโจทก์ยังคงเป็นภริยาของพันจ่าโทสิงห์อยู่ โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอรับบำนาญตกทอดของพันจ่าโทสิงห์ต่อกระทรวงกลาโหม ๆ จ่ายเงินบำนาญให้โจทก์ตลอดมาจนถึงเดือนมกราคม 2500 ก็งดจ่าย เพราะจำเลยคัดค้านว่าจำเลยเป็นภริยาซึ่งจดทะเบียนสมรสกับพันจ่าโทสิงห์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสเลขที่ 25/3665 นั้นเป็นโมฆะและแจ้งการเพิกถอนไปยังอำเภอ
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่จำเลยเป็นภริยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนทะเบียนสมรสตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่าโจทก์เป็นคู่สมรสของพันจ่าโทสิงห์มาตั้งแต่พ.ศ. 2477 ก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 นับว่าโจทก์กับพันจ่าโทสิงห์เป็นคู่สมรสกันตามกฎหมายลักษณะผัวเมียตลอดมาฉะนั้น พันจ่าโทสิงห์ย่อมไม่มีสิทธิทำการสมรสกับจำเลยได้เพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3) บัญญัติว่าการสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายหรือหญิงมิได้เป็นคู่สมรสของบุคคลอื่นอยู่ และมาตรา 1490 บัญญัติให้ถือเป็นโมฆะ ฉะนั้น การจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยกับพันจ่าโทสิงห์จึงเป็นโมฆะ ตามนัยฎีกาที่ 1269/2493
พิพากษายืน