แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 5 ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องบริษัทจำเลยที่ 1 ขอให้เลิกบริษัทจำเลยที่1 จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดี แล้วต่อมาจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 2 ตกลงกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้เลิกบริษัทจำเลยที่ 1 ศาลได้พิพากษาตามยอมโดยหาได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่ามีเหตุที่จะเลิกบริษัทดังฟ้องไม่ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1194,1236(4) โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 อยู่ด้วย ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีปลดเปลื้องความเสียหาย โดยขอให้ศาลแสดงว่าคำพิพากษาตามยอมในคดีนั้นไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1ในอันที่จะให้บริษัทจำเลยที่ 1 คงมีอยู่ต่อไปได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลจดทะเบียนตามกฎหมายโจทก์ที่ 1 ถือหุ้น 10 หุ้น โจทก์ที่ 2 ถือหุ้น 9 หุ้น จำเลยที่ 2, 3, 4 เป็นประธานกรรมการและกรรมการของบริษัท ถือหุ้นคนละ 1 หุ้น จำเลยที่ 5 ถือหุ้น 1 หุ้น กิจการของบริษัทคงมีอยู่จนบัดนี้จำเลยที่ 2, 3, 4 ในฐานะคณะกรรมการมิได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายหลายประการต่อมาจำเลยที่ 5 ยื่นฟ้องบริษัทจำเลยที่ 1 ต่อศาลขอให้เลิกบริษัท และขอให้จำเลยที่ 6, 7 เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 2 ในฐานะประธานกรรมการยื่นคำให้การปฏิเสธฟ้องว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่เคยหยุดกิจการถึง 1 ปี และกิจการไม่ขาดทุน แล้วต่อมาจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 5 สมยอมกันประนีประนอมยอมความต่อศาล ยอมเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 แต่งตั้งจำเลยที่ 6, 7 เป็นผู้ชำระบัญชี ศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ปรากฏตามคดีแดงที่ 2690/2500 ของศาลแพ่ง หลังจากนั้นจำเลยที่ 6, 7 ได้ยื่นคำร้องขอจดทะเบียนเลิกบริษัทต่อหอทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลางกระทรวงเศรษฐการแต่นายทะเบียนปฏิเสธการขอจดทะเบียน อ้างว่าศาลมิได้พิพากษาให้บริษัทเลิกจากกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1237 จำเลยจะปฏิบัติตามยอมความต้องประชุมมติพิเศษตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1194 โจทก์ทราบเรื่องได้มีหนังสือทักท้วงจำเลยที่ 6, 7 ให้ระงับการปฏิบัติหน้าที่ จำเลยที่ 5, 7 ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยขอให้ศาลสั่งให้บริษัทจำเลยที่ 1 เลิกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1237 ศาลสั่งอนุญาตให้แก้ได้ ซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายการที่จำเลยที่ 5 สมยอมให้ศาลสั่งเลิกบริษัท ทำให้ผู้ถือหุ้นและโจทก์เสียหาย ทั้งบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่มีเหตุที่จะเลิกตามมาตรา 1237 การเลิกบริษัทต้องดำเนินตามมาตรา 1194 คือ ต้องประชุมมติพิเศษจึงขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแดงที่ 2690/2500 ของศาลแพ่ง และเพิกถอนการสั่งเลิกบริษัทจำเลยที่ 1เสียและให้จำเลยที่ 6, 7 พ้นจากหน้าที่ผู้ชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วย
จำเลยให้การว่า ศาลพิพากษาให้เลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และแต่งตั้งจำเลยที่ 6, 7 เป็นผู้ชำระบัญชีชอบแล้ว บริษัทจำเลยที่ 1 ได้หยุดกิจการมาเกิน 1 ปีจริงจึงตกลงรับข้อเท็จจริงที่โจทก์ฟ้องในคดีแดงที่2690/2500 มานั้น มิใช่เป็นการสมยอมและที่ศาลสั่งอนุญาตให้แก้ข้อความในคำพิพากษาเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ศาลมีอำนาจให้แก้ได้
ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงรับว่าจำเลยที่ 2 เป็นบิดาจำเลยที่ 5จริงโจทก์จำเลยแถลงไม่ติดใจสืบพยานบุคคล คงอ้างแต่พยานเอกสาร
ศาลแพ่งวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้กระทำต่อศาลให้เลิกบริษัท ไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย พิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 2690/2500 เป็นโมฆะเสียเปล่าไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย ให้ถือว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ยังมีสภาพอยู่ตามเดิม ไม่เลิก หากมีการกระทำใด ๆ ทางทะเบียนเกี่ยวกับการเลิกบริษัท ให้เพิกถอน
จำเลยทั้ง 7 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ เมื่อศาลพิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ศาลสั่งเพิกถอนไม่ได้ เว้นแต่เป็นการฉ้อฉลหรือสมยอมกันเมื่อโจทก์ไม่สืบว่าจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 2 ได้สมยอมกัน สัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งแดงที่ 2690/2500 ยังสมบูรณ์อยู่ส่วนการแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นการแก้ไขตามเหตุที่ฟ้องไว้ มิใช่แก้ไขข้อสารสำคัญ สัญญายอมความนั้นยังคงสมบูรณ์ตามกฎหมาย พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 5 ฟ้องคดีแพ่งแดงที่ 2690/2500 ขอให้เลิกบริษัทจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานกรรมการของบริษัทตกลงทำสัญญายอมความให้เลิกบริษัท ศาลพิพากษาตามยอม หากการกระทำของจำเลยเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นจะขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมไม่ได้ แต่ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีปลดเปลื้องความเสียหายได้โดยมีสิทธิฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าคำพิพากษานั้นไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ผู้ถือหุ้นในอันที่จะให้บริษัทจำเลยที่ 1 คงมีอยู่ต่อไปโจทก์กล่าวอ้างเป็นหลักแห่งข้อหาว่า การตกลงกันเลิกบริษัทต้องประชุมใหญ่มีมติพิเศษให้เลิกบริษัท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1194, 1236(4) ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5 ตกลงกันเพียง2 คนให้เลิกบริษัท จึงเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมายโดยอาศัยศาลเป็นเครื่องมือ ศาลได้พิพากษาคดีไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความหาได้ชี้ขาดข้อเท็จจริงว่ามีเหตุที่จะเลิกบริษัทดังฟ้องไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิที่จะขอจดทะเบียนเลิกบริษัทอันเป็นการกระทำความเสียหายแก่โจทก์ได้ปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น