คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5926/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์บรรยายว่า เดิมมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนอยู่แล้ว ต่อมาจำเลยประกาศใช้ระเบียบใหม่ปรับปรุงอัตราเงินเดือนโดยแบ่งครึ่งของแต่ละลำดับโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์เนื่องจากจำเลยสามารถพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์เพียงครึ่งขั้นในรอบปีได้ ซึ่งปกติโจทก์ควรจะได้รับการพิจารณาเลื่อน 1 ขั้นเป็นอย่างน้อย ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำบัญชีอัตราเงินเดือนที่ได้ประกาศใช้ใหม่มาใช้บังคับกับโจทก์แล้ว จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนบัญชีอัตราเงินเดือนดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนของพนักงานของจำเลยกำหนดไว้ตามหนังสือกระทรวงการคลังที่ กค.0512/28134 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 ตามบัญชีอัตราเงินเดือนดังกล่าว มิได้มีการกำหนดเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนครึ่งขั้นแต่อย่างใดต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยประกาศใช้ระเบียบว่าด้วยมาตรฐานกำหนดตำแหน่งของพนักงานเพื่อกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานมีทั้งหมด42 ลำดับ และปรับปรุงอัตราค่าจ้างเงินเดือนโดยแบ่งครึ่งของแต่ละลำดับโดยไม่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีหรือหารือกระทรวงการคลัง ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างอันไม่เป็นคุณแก่โจทก์ และจากระเบียบนี้ทำให้จำเลยสามารถพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนแก่โจทก์เพียงครึ่งขั้นในรอบปีได้ซึ่งโดยปกติแล้วในการพิจารณาเลื่อนขั้นในรอบปีแต่ละปีโจทก์ควรจะได้รับการพิจารณาเลื่อน 1 ขั้นเป็นอย่างน้อย ขอให้เพิกถอนบัญชีกำหนดอัตราเงินเดือนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2

จำเลยให้การว่า อัตราเงินเดือนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1ที่โจทก์อ้างตามหนังสือกระทรวงการคลัง ที่ กค.02512/28134 ลงวันที่29 พฤษภาคม 2529 เป็นเพียงตารางแสดงการขยายอัตราเงินเดือนอีก 2 ขั้นจำเลยไม่มีอำนาจกำหนดอัตราเงินเดือนได้เอง แต่ได้ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีต่อมาวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยประกาศใช้ระเบียบฯ ว่าด้วยมาตรฐานกำหนดตำแหน่งของพนักงาน (ฉบับที่ 2) จำเลยได้นำบัญชีท้ายคำสั่งบริหารดังกล่าวผนวกไว้เป็นส่วนหนึ่งในระเบียบว่าด้วยมาตรฐานกำหนดตำแหน่งของพนักงาน (ฉบับที่ 2) คือ บัญชีอัตราเงินเดือนที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนท้ายฟ้องบัญชีอัตราเงินเดือนที่โจทก์กล่าวอ้างจึงไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าบัญชีอัตราเงินเดือนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 ไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติม ขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกำหนดว่า พิเคราะห์แล้ว ก่อนที่จะได้วินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ สมควรจะได้วินิจฉัยเสียก่อนว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องสรุปความได้ว่าเดิมได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเกี่ยวกับอัตราเงินเดือนของพนักงานจำเลย ซึ่งกำหนดตามหนังสือกระทรวงการคลัง ลงวันที่ 29 พฤษภาคม 2529 มิได้มีการกำหนดอัตราเงินเดือนครึ่งขั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยประกาศใช้ระเบียบสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทยว่าด้วยมาตรฐานกำหนดตำแหน่งของพนักงานโดยกำหนดอัตราเงินเดือนของพนักงานไว้ 42 ลำดับจำเลยได้ปรับปรุงอัตราเงินเดือนโดยแบ่งครึ่งของแต่ละลำดับโดยมิได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีหรือหารือกระทรวงการคลังก่อน ปรากฏตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 อันเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่โจทก์ ขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13 และมาตรา 20 ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยจำเลยสามารถพิจารณาเลื่อนขั้นเงินเดือนให้แก่โจทก์เพียงครึ่งขั้นในรอบปีได้ ซึ่งโดยปกติการพิจารณาเลื่อนขั้นควรได้รับการพิจารณาเลื่อน 1 ขั้นเป็นอย่างน้อย จากคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าจำเลยได้นำบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้างตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 มาใช้บังคับกับโจทก์แล้วแต่อย่างใด ตามคำฟ้องของโจทก์เป็นแต่เพียงคาดคะเนว่าจำเลยอาจจะเลื่อนขั้นเงินเดือนให้โจทก์ครึ่งขั้นได้เท่านั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า จำเลยได้นำบัญชีอัตราเงินเดือนและค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้างตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 มาใช้บังคับกับโจทก์แล้วดังนี้จึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนบัญชีกำหนดอัตราเงินเดือนตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 และปัญหาที่ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่นั้น แม้จะมิได้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลแรงงานกลางก็ตาม แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยข้ออุทธรณ์ของโจทก์อีกต่อไป

พิพากษายืน

Share