แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยโดยทุจริต นำข้อความอันเป็นเท็จไปกล่าวหลอกลวงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริง และมอบเงินให้จำเลยไปนั้น เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ใช่ความผิดฐานยักยอก เพราะจำเลยหาได้ครอบครองเงินของผู้เสียหายมาก่อนแล้ว เบียดบังเอาไว้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำทุจริต หลอกลวงนายฮงเท้ง ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นความเท็จว่า ตามที่นายฮงเท้งมอบหมายให้จำเลยไปเจรจากับผู้เช่าห้องแถวของนายฮงเท้ง จำเลยไปเจรจาแล้ว ผู้เช่าเรียกร้องขอค่าขนย้าย ๓๒,๕๐๐ บาท ให้นายฮงเท้งมอบเงินแก่จำเลย นายฮงเท้งหลงเชื่อมอบเงินดังกล่าวให้จำเลยไป จำเลยเอาเงินนั้นเป็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้ไปติดต่อกับผู้เช่าห้องอย่างใด ขอให้ลงโทษ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง พิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย ๓ เดือน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ และให้จำเลยคืนเงิน ๓๒,๕๐๐ บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริง ฟังยุติแล้วว่า จำเลยได้เอาข้อความอันเป็นเท็จไปกล่าวให้นายฮงเท้งผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้มอบเงินให้จำเลยไปตามจำนวนในฟ้อง ทั้งที่ความจริงจำเลยไม่เคยไปทำการติดต่อกับผู้เช่าในเรื่องค่าขนย้ายแต่อย่างใด ส่อเจตนาทุจริตของจำเลยมีมาแต่แรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฉ้อโกง เพราะถ้าจำเลยไม่แสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า ผู้เช่าห้องทั้งสี่ห้อง ของผู้เสียหาย ขอค่าขนย้ายเป็นจำนวน ๓๒,๕๐๐ บาทแล้ว จะยอมออกไปจากห้องเช่า ผู้เสียหายก็คงจะไม่มอบเงินจำนวนนี้ให้จำเลยรับไป ที่ยอมมอบให้ไปเป็นเพราะถูกจำเลยหลอกหลวงทำให้หลงเชื่อ แล้วจำเลยกลับเอาเงินของผู้เสียหายเป็นประโยชน์ตนเสีย จึงเป็นผิดฐานฉ้อโกง หาใช่จำเลยได้ครอบครองเงินของผู้เสียหายมาก่อน แล้วเบียดบังเอาไว้เป็นของตน จะได้ว่าเป็นความผิดฐานยักยอกฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน