คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 591/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การใช้นาที่ให้เช่าเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 37 จะต้องเป็นการใช้ที่นานั้นเองทำประโยชน์ มิใช่นำนาไปขาย ซึ่งจะทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือไป ไม่อาจใช้นาที่ให้เช่านั้นได้อีกต่อไป การที่จำเลยร่วมซึ่งเป็นผู้ให้โจทก์เช่านาจะจัดสรรนาพิพาทแบ่งขายก็คือขายนั่นเอง เป็นวิธีการขายอย่างหนึ่ง จึงมิใช่เป็นการใช้เพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวของตนตามความจำเป็นตามมาตรา 37 (2) จำเลยร่วมจึงไม่อาจบอกเลิกการเช่านาพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาหรือสั่งเพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลาดหลุมแก้ว และ คชก. จังหวัดปทุมธานี
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และที่ 12 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานางสุภาพยื่นคำร้องขอเข้าเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 57 (1)
จำเลยที่ 6 ถึงที่ 11 ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ 6 ที่ 7 และที่ 9 ถึงที่ 11 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยและจำเลยร่วม โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลาดหลุมแก้ว และ คชก. จังหวัดปทุมธานี ที่ให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดลง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 12 ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 เป็นกรรมการ คชก. จังหวัดปทุมธานี โจทก์เช่านาพิพาทโฉนดเลขที่ 199 ตำบลลาดหลุมแก้ว อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ประมาณ 61 ไร่ จากจำเลยร่วมเพื่อทำนา เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2535 จำเลยร่วมมีหนังสือถึงโจทก์ขอบอกเลิกการเช่าและมีหนังสือแจ้ง คชก. ตำบลลาดหลุมแก้ว ถึงเหตุผลในการบอกเลิกการเช่า คชก. ตำบลลาดหลุมแก้ววินิจฉัยให้การเช่านาพิพาทสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2536 โจทก์ยื่นอุทธรณ์ต่อ คชก. จังหวัดปทุมธานี และ คชก. จังหวัดปทุมธานีมีคำวินิจฉัยยืนตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลาดหลุมแก้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 12 ว่า จำเลยร่วมบอกเลิกการเช่านาพิพาทได้หรือไม่ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 12 ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้รับฟังเป็นยุติในศาลชั้นต้นแล้วว่า โจทก์มิได้นำสืบให้ศาลเห็นว่าการที่จำเลยร่วมบอกเลิกการเช่าเพื่อนำนาพิพาทไปจัดสรรขายนั้น มิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวตามความจำเป็นของจำเลยร่วม จึงต้องถือว่าการบอกเลิกการเช่านาของจำเลยร่วมเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวตามความจำเป็นนั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงมิได้รับฟังเป็นยุติเช่นนั้น เพราะยังโต้เถียงกันอยู่ โจทก์มิได้มีหน้าที่ต้องนำสืบดังที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 12 กล่าวอ้าง ผู้ที่มีหน้าที่นำสืบความจำเป็นดังกล่าวคือจำเลยร่วม ซึ่งเป็นผู้ให้เช่านาที่บอกเลิกการเช่านา และได้เข้ามาเป็นคู่ความคดีนี้แล้วด้วยการร้องสอด โดยจะต้องนำสืบให้ได้ความตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 37 (2) ว่า ประสงค์จะใช้นาที่ให้เช่าเพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวของตนตามความจำเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงรับฟังได้ชัดเจนจากที่จำเลยร่วมนำสืบมาว่า ที่จำเลยร่วมบอกเลิกการเช่านาพิพาทก็เพื่อจะนำนาพิพาทไปจัดสรรขาย เป็นความประสงค์ของจำเลยร่วมเองร่วมกับนายธวัชชัย บุตรชาย เห็นว่า การใช้นาที่ให้เช่าเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 37 นี้ จะต้องเป็นการใช้ที่นานั้นเองทำประโยชน์ มิใช่นำเอานาไปขาย ซึ่งจะทำให้กรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือไป เป็นผลทำให้ไม่อาจใช้นาที่ให้เช่านั้นได้อีกต่อไป การที่จำเลยร่วมจะจัดสรรนาพิพาทแบ่งขายก็คือขายนั่นเอง เป็นวิธีการขายอย่างหนึ่ง จึงเห็นได้ว่ามิใช่เป็นการใช้เพื่อประโยชน์แห่งครอบครัวของตนตามความจำเป็นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 37 (2) จำเลยร่วมจึงไม่อาจบอกเลิกการเช่านาพิพาทได้ การเช่านาพิพาทยังไม่สิ้นสุดลงโดยการบอกเลิกการเช่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบลลาดหลุมแก้ว และ คชก. จังหวัดปทุมธานีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share