คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 590/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกของกลางได้ให้ช.เช่าซื้อไปในระหว่างสัญญาเช่าซื้อจำเลยนำรถยนต์ดังกล่าวไปใช้บรรทุกแร่จนมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและศาลสั่งริบรถยนต์บรรทุกของกลางเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดย่อมมีสิทธิร้องขอคืนรถยนต์ของกลางได้แม้สัญญาเช่าซื้อมีข้อกำหนดว่าถ้ารถถูกยึดหรือตกเป็นของรัฐผู้เช่ายินยอมชดใช้ราคาค่าเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดให้เจ้าของทันทีก็เป็นเพียงข้อตกลงให้ผู้ร้องได้ค่าเช่าซื้อโดยครบถ้วนเท่านั้นไม่มีผลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลาง.

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยได้ใช้รถยนต์บรรทุกของกลางบรรทุกแร่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและริบของกลาง ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางที่ถูกศาลริบ และไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย ขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางที่ถูกริบศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามสัญญาเช่าซื้อฯ ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้ผู้ร้องเป็นงวด ๆ ละเดือนเป็นเวลา 30 งวดฯ ชำระงวดแรกวันที่ 10 มีนาคม 2527 งวดสุดท้ายจึงเป็นภายในวันที่ 10 มีนาคม2529 จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปกระทำความผิดเมื่อวันที่ 9 และ 10พฤษภาคม 2527 จึงเป็นระยะเวลาอยู่ระหว่างสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวผู้ร้องยังเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลาง ที่โจทก์ฎีกาว่าสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมาย จ.4 ข้อ 7 ระบุว่า ถ้ารถถูกยึดหรือตกเป็นของรัฐ ผู้เช่ายินยอมชดใช้ราคาค่าเช่าซื้อที่เหลือทั้งหมดให้เจ้าของทันที่ มีผลเท่ากับผู้ร้องมิใช่เจ้าของรถยนต์ของกลางนั้น เห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงเพื่อให้ผู้ร้องได้ค่าเช่าซื้อโดยครบถ้วนเท่านั้น หามีผลเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ของกลางแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยนำรถยนต์ของกลางไปบรรทุกแร่จนมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ไม่ปรากฏว่าผู้ร้องได้กระทำการใดเพื่อประโยชน์แก่จำเลยเชื่อได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลางได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน”.

Share