แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อแก่ลูกค้าในลักษณะสัญญาหลายประเภท โดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่น การที่จำเลยขอสินเชื่อโดยทำสัญญากับโจทก์หลายประเภท และจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ มูลหนี้ทั้งหมดจึงเกี่ยวข้องและโจทก์มีสิทธินำมาฟ้องรวมเป็นคดีเดียวกันได้ ค่าขึ้นศาลที่โจทก์มีหน้าที่ชำระตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 1 (ก) จึงเท่ากับสองแสนบาทซึ่งเป็นอัตราสูงสุด จำเลยซึ่งเป็นคู่ความที่มีหน้าที่ต้องชำระแทนโจทก์หากตนเป็นฝ่ายแพ้คดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ย่อมถือได้ว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงมีสิทธิคัดค้านและอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยแยกตามมูลหนี้แต่ละสัญญาได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงิน พร้อมดอกเบี้ย รวมยอดหนี้ถึงวันฟ้อง 17,132,368.36 บาท โดยเสียค่าขึ้นศาลจากทุนทรัพย์รวมกันทุกสัญญา 200,000 บาท ขณะที่คดีอยู่ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยแยกคำนวณตามทุนทรัพย์แต่ละสัญญาโจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งศาล จำเลยยื่นคำคัดค้าน ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แต่ละสัญญารวมเป็นเงิน 12,426,086.70 บาท พร้อมดอกเบี้ย โดยนำเงินจำนวน 2,459,862.24 บาท ซึ่งจำเลยชำระหนี้เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2538 หักชำระเป็นดอกเบี้ยและต้นเงินจากยอดหนี้ในวันดังกล่าวออกเสียก่อนหากจำเลยไม่ชำระหรือชำระ ไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์ หากไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่น ออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์จนครบ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับค่าขึ้นศาลโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ และอุทธรณ์คำพิพากษาพร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีใน ชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา คดีอยู่ระหว่างศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทสถาบันการเงิน ประกอบธุรกิจให้สินเชื่อแก่ลูกค้าในลักษณะสัญญาหลายประเภทโดยได้รับประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยหรือประโยชน์อื่น ดังนี้ การที่จำเลยขอสินเชื่อ โดยทำสัญญากับโจทก์หลายประเภท และจดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ มูลหนี้ทั้งหมด จึงเกี่ยวข้องและโจทก์มีสิทธินำมาฟ้องรวมเป็นคดีเดียวกันได้ค่าขึ้นศาลที่โจทก์มีหน้าที่ชำระตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. ข้อ 1 (ก) จึงเท่ากับสองแสนบาทซึ่งเป็นอัตราสูงสุด ดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มโดยแยกตามมูลหนี้แต่ละสัญญา จึงเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินกว่าที่โจทก์มีหน้าที่ต้องเสียตามกฎหมาย และจำเลยซึ่งเป็น คู่ความฝ่ายซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระแทนโจทก์หากตนเป็นฝ่ายแพ้คดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 161 วรรคหนึ่ง ย่อมถือได้ว่าเป็น ผู้มีส่วนได้เสีย จึงมีสิทธิคัดค้านและอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นได้อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่เรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพิ่มจากโจทก์ ให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เรียกเก็บเกินสองแสนบาทแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ